สวัสดีค่ะวันนี้ Satori มีสาระความรู้ที่น่าสนใจที่สุดเรื่องหนึ่ง อยากจะมาแบ่งปันให้ทุก ๆ คนได้ลองอ่านกัน เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และบุคคลสำคัญระดับโลกคนหนึ่งที่มีชื่อว่า กาลิเลโอ กาลิเลอี หลายคนคงคุ้นชื่อของเขาเป็นอย่างดีในฐานะนักวิทยาศาสตร์ที่คิดค้นพัฒนากล้องโทรทรรศน์แต่วันนี้Satori จะมายกประเด็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับการต่อสู้ทางทฤษฎีวิทยาศาสตร์ที่กว่าจะเป็นรากแห่งการพัฒนาทางเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ จนมีมนุษย์โลกขึ้นไปเหยียบดวงจันทร์ได้นั้น จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากไม่มีคำพูดดื้อดันหัวชนฝาที่เกือบพาตัวเองไปตายว่า“ถึงอย่างไรมันก็ยังเคลื่อนที่อยู่ดี”ขอบคุณภาพจาก Pixabay By qimono : Link แนวคิด ต้นกำเนิดของแนวคิดนี้มาจาก Nicolaus Copernicus นักดาราศาสตร์ชาวโปแลนด์ที่ได้เสนอทฤษฎีใหม่ว่าดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของเอกภพ โดยมีโลกและดาวเคราะห์ต่างๆ โคจรเป็นบริวารอยู่รอบดวงอาทิตย์(นิโคเลาส์ โคเปอร์นิคัส) เครดิตภาพ : https://bit.ly/3esrhqg นิโคเลาส์ โคเปอร์นิคัส ไม่สบายใจกับระบบดาราศาสตร์ของอริสโตเติล และโตเลมี ซึ่งเป็นทฤษฎีหลักของตะวันตกมานานหลายศตวรรษว่า “โลกหยุดนิ่งอยู่กับที่ การที่วัตถุต่าง ๆ ตกลงมายังโลก เพราะโลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล” สิ่ง ๆ นี้ค้างคาอยู่ในใจของ โคเปอร์นิคัส มาตลอดเวลา เขาเขียนในบทความที่มีชื่อว่า “Commentary on the Theories of the Motions of Heavenly Objects from Their Arrangements” เขาคิดว่าโลกมิใช่ศูนย์กลางของจักรวาล เพียงแต่เป็นศูนย์กลางการโคจรของดวงจันทร์ โคเปอร์นิคัส เชื่อว่ามีลักษณะการเคลื่อนที่แปลก ๆ เหมือนถูกรบกวนของดาวเคราะห์ต่าง ๆ เกิดจากการที่โลกหมนุรอบแกนหมุนของตัวเองสรุปคือ “เราโคจรรอบดวงอาทิตย์”ขอบคุณภาพจาก Pixabay By WikiImages : Link ทว่าโคเปอร์นิคัสยังไม่กล้าที่จะเปิดเผยตนเองต่อคนทั่วไปและศาสนา เนื่องจากการเสี่ยงถูกประณามจากฝ่านศาสนาอาจทำให้เขาถูกศาลพระพิพากษาว่าผิดและอาจจะโดนเผาทั้งเป็นได้นั้นทำให้เขาเขียนบทความนี้ต่อไปอย่างเงียบๆ จนวาระสุดท้ายเขาป่วยเป็นอัมพาต จึงส่งต่อต้นฉบับ “On the Revolutions” ให้ จอร์จ เรติคุส ลูกศิษย์ที่เขาไว้ใจ แต่เรติคุสถูกบังคับให้ออกจากมหาลัย ต้นฉบับจึงตกไปอยู่กับ อังเดรส โอเซียนเดอร์ ผู้ยึดมั่นในทฤษฎีโลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล โอเซียนเดอร์ ได้ฉวยโอกาสแก้ไขต้นฉบับโดยตัดข้อความสำคัญ และเพิ่มข้อความของเขาลงไป ขณะที่โคเปอร์นิคัส ไม่ทราบและกำลังอ่อนระโทย ทำให้ความคิดของโคเปอร์นิคัสไม่ได้รับความสนใจเป็นเวลาเกือบหนึ่งศตวรรษนับว่าเป็นโศกนาฏกรรมอันน่าเศร้าเรื่องหนึ่งที่ผู้เขียนคิดว่าหากใครมีเวลาควรจะศึกษาเพิ่มเติมอย่างยิ่ง (นิโคเลาส์ โคเปอร์นิคัส) เครดิตภาพ :Pixabay By Mateusz_foto : Link ต่อมาในปี ค.ศ.1633 99 ปีหลังโคเปอร์นิคัสจากไป นักดาราศาสตร์และคณิตศาสตร์ชาวอิตาลี ที่มีชื่อว่า กาลิเลโอ กาลิเลอี จู่ๆได้ถูกนำตัวไปขึ้นศาลพระที่กรุงโรมด้วยข้อหา “ลบหลู่ศาสนา” มาจากการตีพิมพ์หนังสือของเขาที่มีชื่อว่า “Dialouge Concerning the Two Chief World Systems : Ptolemaic and Copernican (Dialogo sopra li due massimisistemi del mondo : Ttolemaico, e Ccopernicono)” หนังสือที่กล่าวถึง (บทสนทนาเกี่ยวกับระบบจักรวาลสำคัญสองระบบ: ของโตเลมีและโคเปอร์นิคัส) กาลิเลโอเสนอว่า “ระบบจักรวาลมีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของโคเปอร์นิคัสไม่ใช่เพียงสมมติฐาน หากเป็นความจริง” ซึ่งขัดกับคำประกาศของศาสนจักรเมื่อปี ค.ศ. 1616 ที่ว่าห้ามการเผยแพร่ทฤษฎีคำสอนของโคเปอร์นิคัส ผลของการไต่สวนคือ กาลิเลโอยอมรับว่าเขาอาจจะล้ำเส้นเกินไปในการปกป้องระบบของโคเปอร์นิคัส พระลูกขุนส่วนใหญ่ตัดสินว่า “กาลิเลโอมีความผิดตามฟ้อง” คำตัดสินคือ จำขังตลอดชีวิต(กาลิเลโอ กาลิเลอี) ขอบคุณภาพจาก : https://bit.ly/2xEAFGF กาลิเลโอยังถูกบังคับให้เขียนคำสารภาพอันยาวเหยียด และคำประกาศถอนความเชื่อของเขาต่อสาธารณะ เขาคุกเข่าขณะที่มือข้างหนึ่งอยู่บนไบเบิ้ล เขียนคำสารภาพด้วยภาษาลาตินว่า (ยกมาเพียงบางส่วน อ้างอิงจากหนังสือ Stephen Hawking บนบ่าของยักษ์ใหญ่ โดย สตีเฟน ฮอว์คิง แปลโดย ดร.ชัยวัฒน์ คุประตกุล หน้า 51 - 52) “ข้าพเจ้ากาลิเลโอ บุตรของ วินเซนโซ กาลิเลอี แห่งฟลอเรนซ์ อายุ 70 ปี ถูกไต่สวนโดยศาลนี้ และขอคุกเข่าต่อหน้าท่าน พระราชาคณะ ผู้พิพากษาแห่งศาสนจักรคริสเตียนด้วยข้อหาลบหลู่ศาสนา โดยมือของข้าพเจ้าอยู่บนพระคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์ ข้าพเจ้าขอสาบานว่า ข้าพเจ้ายังเชื่อตลอดมา ยังเชื่อในปัจจุบัน และด้วยพระหัตถ์ของพระเจ้า ข้าพเจ้าจะเชื่อต่อไปในอนาคต ในสิ่งที่ศาสนจักรคาทอลิกอันศักดิ์สิทธิ์ยึดถือและสั่งสอน หลังจากที่ข้าพเจ้าถูกตัดสินโดยศาลอันศักดิ์สิทธิ์นี้ให้เลิกเชื่ออย่างผิด ๆ ว่าดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของจักรวาลและไม่มีการเคลื่อนที่ และว่าโลกมิได้เป็นศูนย์กลางของจักรวาลและมีการเคลื่อนที่ ข้าพเจ้าจะต้องไม่เชื่อ ปกป้อง หรือสอนโดยวิธีการใด ๆ ไม่ว่าด้วยคำพูดหรือการเขียนความคิดที่ผิด ๆ นั้น และหลังจากที่ข้าพเจ้าได้รับคำเตือนมาก่อนแล้วว่าคำสอนดังกล่าวนั้นขัดกับพระคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์ ข้าพเจ้าก็ยังจะเขียนและตีพิมพ์หนังสือ ซึ่งข้าพเจ้าได้ถูกห้ามแล้วนั้นโดยปราศจากคำตอบใด ๆ ข้าพเจ้าได้ถูกตัดสินว่ากระทำความผิดในการลบหลู่ศาสนาอย่างร้ายแรง นั่นคือ เชื่อว่าดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของจักรวาลและไม่มีการเคลื่อนที่ใด ๆ และโลกมิได้เป็นศูนย์กลางของจักรวาลและโลกเคลื่อนที่...”ขอบคุณภาพจาก Pixabay By wgbieber : Link หลังจากที่เขากล่าวเสร็จมีตำนานอันที่ที่เลืองลือโด่งดังมาจนถึงทุกวันนี้ว่า ขณะที่กาลิเลโอกำลังยืนขึ้น เขายังแอบพึมพำกับตัวเองด้วยประโยคน่าหวาดเสียวว่า “ถึงอย่างไรมันก็ยังเคลื่อนที่อยู่ดี” นั้นเป็นวลีที่ติดในใจของนักวิทยาศาสตร์และนักวิชาการมาหลายศตวรรษ กล่าวกันว่ามีการค้นพบภาพเขียนสีน้ำมันของกาลิเลโอ มีอายุเก่าแก่ถึงปี ค.ศ. 1640 ซึ่งมีข้อความเป็นภาษาละตินว่า “ถึงอย่างไรมันก็ยังเคลื่อนที่อยู่ดี”ขอบคุณภาพจาก Pixabay By stemark44 : Link เรื่องราวของกาลิเลโอ ในวัย 70 คงไม่ใช่เรื่องน่าภิรมย์สำหรับปุถุชนทั่วไปเลยที่จะต้องมารับความกดดัน การถูกกดขี่ ถูกบีบบังคับ รีดเค้นและทำลายเจตนารมณ์ในการค้นหาความจริงของจักรวาล แต่ถึงอย่างไร กาลิเลโอ ก็ยังคงเดินไปในเส้นทางวิทยาศาสตร์ของเขาต่อไป การไม่ยอมเชื่อผู้อื่นง่าย ๆ ทุ่มเทกับผลงานของตนเองและรู้จักยอมรับในทฤษฎีที่เป็นความจริงของ โคเปอร์นิคัส ถึงแม้ว่าจะขัดต่อหลักความเชื่อของผู้เคร่งในศาสนา และอาจจะนำมาซึ่งความวอดวายของชีวิต นั้นอาจจะทำให้ชายชราผู้อ่อนแรงก้มหัวให้ได้ แต่หัวใจของเขายังคงยึดมั่นในหลักการอันเป็นที่มาของคำว่า “ถึงอย่างไรมันก็ยังเคลื่อนที่อยู่ดี” ที่กลายเป็นข้อเท็จจริงและพัฒนาวงการวิทยาศาสตร์ ทำให้โลกของเขานั้นเคลื่อนที่มาจนถึงทุกวันนี้“ถึงอย่างไรมันก็ยังเคลื่อนที่อยู่ดี” นี่คือคำพูดแสนโอหังที่ได้กล่าวถึงชีวิตและความสำเร็จของกาลิเลโอเป็นอย่างดี ขอบคุณที่มาจากหนังสือ Stephen Hawking บนบ่าของยักษ์ใหญ่ บรรณาธิการและบทนำ : Stephen Hawkingแปลโดย : ดร.ชัยวัฒน์ คุประตกุลยังมีเรื่องราวน่าสนใจมากมาย หากเพื่อน ๆ สนใจเนื้อหาเพิ่มเติมสามารถหาซื้อหนังสือได้ที่ bear publishing ภาพหน้าปก โดยผู้เขียน Satoriภาพประกอบหน้าปกเครดิต : https://bit.ly/34PA80P และ https://bit.ly/2wMhGcZ