(Photo By Sepnine) ...ท่ามกลางการรับรู้ของคนทั่วไปมักมองว่าความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในสังคมชนบทนั้นเป็นเรื่อง “ปกติ” หรือบางครั้งอาจเป็นเพราะความเจริญ หรือความก้าวล้ำสมัยของเทคโนโลยีเหล่านั้นกำลังค่อยๆ กลืนกินความเป็นชนบทไปทุกขณะๆ อย่างไม่ทันรู้ตัว "เมื่อความเป็นเมืองเริ่มย่างกายเข้ามาอย่างกลมกลืนกับสังคมท้องถิ่น กลุ่มคนเล็กๆ ที่ยังยืนหยัด จะใช้ชีวิตแบบเดิมจึงต้องเตรียมพร้อมที่จะรับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น" นวนิยายเรื่อง “ก่อนเวลาเปลี่ยนผ่าน” ของโมน สวัสดิ์ศรี เป็นวรรณกรรมชุดในโครงการผลิตวรรณกรรมจากชุมชนท้องถิ่น ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ.2557 เรื่องราวในนวนิยายเรื่องนี้ เปรียบเสมือนภาพสะท้อนเรื่องราวภายในหมู่บ้านเล็กๆ ของตำบลเสมอแข อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก เล่าเรื่องของชาวบ้านที่ช่วยกันจัดสร้างภูมิคุ้มกันของชุมชนให้เป็นรูปธรรม ในขณะที่ท้องถิ่นของเขากำลังถูกโอบล้อมไปด้วยความเป็นเมือง โดยมีตัวละครอันเปรียบเสมือนตัวแทนจากคนเมืองคือ “พิรุณ” ที่เข้าไปสัมผัสเรื่องราวชีวิตของคนในพื้นที่อย่าง “เพลิน” พาฝัน” และเกรียงไกร” พื้นที่ที่สัมผัสได้ว่ามีความเป็นเมืองและชนบทหลอมรวมอยู่ในดินแดนเดียวกันท่ามกลางความรับรู้ของคนทั่วไปที่มองว่าเป็นเรื่องปกติ(Photo By Sepnine) กลวิธีการสร้างตัวละคร มุ่งใช้ตัวละครเป็นสื่อแทนความเป็นเมืองกับชนบท โดยสร้างตัวละครเอกชายคือ “พิรุณ” ให้เป็นหนุ่มคนเมือง ประกอบอาชีพเป็นสถาปนิกออกแบบรถไฟ ซึ่งสอดคล้องกับเหตุการณ์ที่กำลังเป็นกระแสในยุคนั้นคือการสร้างรถไฟความเร็วสูง และเส้นทางที่สร้างนั้นต้องใช้พื้นที่ของคนในท้องถิ่น ซึ่งก็คือจังหวัดพิษณุโลกบ้านเกิดที่เขาจากมาตั้งแต่วัยเยาว์ จึงทำให้พิรุณได้กลับมายังบ้านเกิดอีกครั้ง เขากลับมาใช้ชีวิตแบบวิถีชนบทร่วมกับ "เพลิน" ผู้ซึ่งเป็นน้องสาว และตัวละคร "พาฝัน" หญิงสาวที่เขาแอบหลงรัก ขณะที่หล่อนมีคู่ชีวิตอยู่แล้วคือ เกรียงไกร โดยตัวละครพิรุณเป็นภาพแทนของความเป็นสังคมเมืองที่เข้ามาในสังคมชนบท จากเนื้อหาที่ว่า “พิรุณยอมรับว่าสิ่งแรกที่เขาไม่อาจปฏิเสธก็คือความร่มรื่นของแมกไม้ นั่นเป็นสิ่งเดียวที่เขาไม่อาจออกแบบด้วยคอนกรีต” (น.78) จากตัวอย่างข้างต้น ตัวละครพิรุณใช้ภาพความเป็นเมืองหรือความเป็นวัตถุนิยม คือ “คอนกรีต” ซึ่งเป็นวัสดุที่ใช้ในการก่อสร้าง เปรียบกับธรรมชาติในความเป็นชนบท คือ “ความร่มรื่นของแมกไม้” แสดงให้เห็นภาพความแตกต่างของวิถีชีวิตคนเมืองกับชนบทอย่างชัดเจน สังคมชนบทกำลังถูกโจมตีจากทุกฝ่าย ไม่เฉพาะเพียงความเป็นเมือง แต่คนในท้องถิ่นกันเองก็ยังมีพวกนายทุน หรือผู้มีอิทธิพลมากกว้านซื้อที่ดินเพื่อเอาไปทำกำไร หรือสร้างแหล่งอสังหาริมทรัพย์ ผู้แต่งจึงมุ่งนำเสนอให้เรื่องราวตัวละครในนวนิยายมีหลากหลายแง่มุม เพื่อเสนอความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องการสร้างรถไฟความเร็วสูง และใช้เหตุการณ์ที่กำลังเป็นกระแสสังคมในยุคนี้ผสมผสานเข้าไปในเรื่องราว เพื่อให้ผู้อ่านได้ตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้นในสังคมไทย (Free photo from https://www.pexels.com/th-th/photo/2132106) บางครั้งการช่วยเหลือจากภาครัฐในส่วนกลางก็เป็นสิ่งที่ดี หากแต่ภาครัฐกลับมองว่าสังคมชนบทเป็น “สังคมพิการ” ต้องคอยให้ความช่วยเหลืออยู่เสมอ ทั้งที่จริงแล้วความเจริญเหล่านั้นที่หยิบยื่นให้มาอาจเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นหรือไม่เหมาะสมกับความเป็นชนบทเหล่านั้น ทว่าเป็นการถูกยัดเยียดทั้งที่พวกเขาไม่ต้องการ บางทีคนกลุ่มเล็กๆ อาจจะเลือกใช้ชีวิตท่ามกลางท้องทุ่งและคันนา เน้นการใช้ชีวิตแบบพึ่งพาตัวเองแบบพอเพียง มากกว่าการที่มีป่าคอนกรีตเกลื่อนเมือง ท้ายที่สุดแล้ว การกลับมายังพิษณุโลกของตัวละครพิรุณ ก็ได้เปลี่ยนแปลงทัศนคติ รวมไปถึงพฤติกรรมของความเป็นคนเมืองให้เข้าใจในวิถีของคนชนบทมากขึ้น เข้าใจว่าสิ่งที่กำลังเปลี่ยนแปลงในสังคมชนบทไม่ใช่เรื่องปกติอีกต่อไป แต่เป็นเรื่องที่เราควรตระหนัก และให้ความสำคัญไม่เพียงแต่เฉพาะคนในท้องถิ่นเท่านั้น แต่ต้องเป็นพวกเราทุกคนในสังคม แม้เราจะห้ามการเปลี่ยนแปลงของสังคมไม่ได้ แต่เราก็มีภูมิคุ้มกันที่เตรียมพร้อมจะรับมือกับความเปลี่ยนแปลงเหล่านั้น“ผมภาคภูมิใจในหน้าที่การงานมากนะครับ แม้กระทั่งตอนนี้ความภาคภูมิใจแบบนั้นก็ยังไม่เคยเปลี่ยน แต่พอผมได้มาสัมผัสผู้คนในพื้นที่จริงๆ ผมพบว่าพวกชาวบ้านก็มีภูมิคุ้มกันพอสมควร เพียงแต่ยังมีอีกหลายพื้นที่ที่ถูกรุกรานเหมือนถูกข้าศึกตีกินเป็นเมืองขึ้น แต่ยังไงๆ ผมก็ยังเชื่อว่าต่อให้ชุมชนถูกทำให้กลายสภาพเป็นคนพิการ สุดท้ายพวกเขาก็ต้องลุกขึ้นมาปกป้องอนาคตของพวกเขา” (น. 244)(Photo By Sepnine) ตัวละครพิรุณยังเปรียบเสมือนกระบอกเสียงที่เป็นตัวแทนของคนในท้องถิ่นพิษณุโลก เนื่องจากการสร้างรถไฟความเร็วสูงต้องตัดผ่านจังหวัดพิษณุโลก ซึ่งอาจจะเป็นการทำลายสิ่งแวดล้อม หรือส่งผลกระทบเลวร้ายต่อท้องถิ่น รวมถึงผลประโยชน์ที่จะได้มานั้นกลับไม่ได้รองรับคนส่วนใหญ่ จากวรรคที่ว่า“จนถึงตอนนี้ผมก็ยังสงสัยอยู่เลยว่ารถไฟความเร็วสูงจะรับใช้ใครกันแน่ ผมยังคิดอยู่ลึกๆ เลยว่า รถไฟทางคู่น่าจะรับใช้คนส่วนใหญ่ได้มากกว่า” (น. 245) ลักษณะดังกล่าวจึงเป็นเหมือนจุดชนวนที่ทำให้คนในท้องถิ่น และคนที่ไม่เห็นด้วยกับโครงการรถไฟความเร็วสูงออกมาเรียกร้องความเป็นธรรม หรือคัดค้านโครงการ เพราะผลกระทบต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นภายหลัง ...ปัจจุบันสังคมเมืองกำลังเข้ามามีบทบาทในสังคมชนบทอย่างเห็นได้ชัด สังเกตได้จากความเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้น ทั้งเรื่องของเทคโนโลยี เศรษฐกิจ และความเป็นอยู่ ทว่าความผิดปกติเหล่านี้คนในท้องถิ่นหรือคนในเมืองกลับมองว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดา ปล่อยให้ผ่านเลยไป โดยไม่เห็นคุณค่า หรือรากเหง้าของความเป็นท้องถิ่นชนบทเหล่านั้นที่จะแปรเปลี่ยนไป กลับมุ่งแต่จะพัฒนาให้เกิดความทันสมัย หรือความเป็นสากลมากขึ้น เพื่อให้เจริญทัดเทียมนานาประเทศ ทั้งที่ความเป็นจริงความเป็นเมืองกับความเป็นชนบทก็สามารถอยู่ร่วมกันได้แบบไม่ต้องทำลายซึ่งกันและกันรายการอ้างอิงโครงการศึกษาและออกแบบระบบรถไฟความเร็วสูง. (ม.ป.ป.). สืบค้นเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ.2557, จาก http://www.thaihispeedtrain.com/about.phpโมน สวัสดิ์ศรี. (2557). ก่อนเวลาเปลี่ยนผ่าน. กรุงเทพมหานคร: สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ.