หลายคนมีความรักในการเดินทางไปในสถานที่ต่าง ๆ ที่แปลกใหม่ และมีสิ่งที่ชอบ มีสิ่งที่หลงใหล แตกต่างกัน บางคนอาจชอบเสียงดนตรีที่คลุกเคล้ากับแสงสีในเมืองกรุง บางคนอาจชอบความสงบในแบบฉบับของธรรมชาติ หรือบางคนอาจชอบมนต์เสน่ห์เล็ก ๆ ของวิถีชีวิต แต่เชื่อว่าหนึ่งสิ่งที่คนรักการเดินทางหลายคนมีเหมือนกัน คือ ต้องการออกไปเก็บภาพ ความรู้สึก ผ่าน เลนส์สายตา ในหมู่คนรักการเดินทางสายดื่มด่ำมนเสน่ห์แห่งวิถีชีวิตแล้ว หลายคนคงไม่พลาดที่จะมีโอกาสได้ไปเยือนเมืองหลวงของประเทศ ลาว ที่รู้จักกันในชื่อ "เวียงจันทน์" การได้ออกเดินทางไปในที่ไหนสักแห่งที่ไม่ได้สวยงามแต่หล้ำค่าด้วยเสน่ห์แห่งวิถีชีวิต ก็เป็นความฝันของผมที่อยากไปสัมผัสสักครั้ง ด้วยความบังเอิญหรือพรหมลิขิตทำให้ผมมีโอกาสได้ทำตามความฝัน ผมมีโอกาสเดินทางไปเยี่ยมญาติที่เมืองผ้าหมี่ขิด ที่รู้จักกันในนามเมืองอุดร หรือ จังหวัดอุดรธานีนั่นเอง มีญาติคนหนึ่งชักชวนพาออกเดินทาไปสัมผัสวิถีชีวิต ใน ดินแดนประเทศลาว การเดินทางไปต่างประเทศครั้งแรกของผมจึงเริ่มขึ้น แม้มันอาจจะไม่ได้ไกลมากมายแต่ก็ทำผมตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย ก่อนเริ่มเดินทาง ยามบ่ายของวันก่อนเดินทาง ป ร ะ เ ท ศ ไ ท ย : ผมเดินทางออกจากจังหวัดอุดรธานี มุ่งหน้าสู่ จังหวัดหนองคาย เพื่อศึกษาเส้นทางการข้ามไปชมวิถีชีวิตในฝั่งลาว เมื่อเดินทางไปถึงอาคารทรงไทยหลังสีขาวสะอาดตา ที่นี่คือสำนักงานออกหนังสือผ่านแดน จึงได้เข้าไปสอบถามเจ้าหน้าที่ ถึงวิธีการเดินทางข้ามโขงไปยังฝั่งลาว เจ้าหน้าที่ก็แนะนำว่าควรทำเป็นหนังสือผ่านแดนชั่วคราว ( ซึ่งมีอายุอยู่ในฝั่งลาวได้ 3 วัน 2คืน) ผมก็เห็นว่าโอเคเพราะ เราเดินทางไปเที่ยว ระยะสั้น ๆ แค่วันเดียวเอง การทำหนังสือผ่านทางก็ง่ายแสนง่าย เพียงมีบัตรประชาชนใบเดียวเจ้าหน้าที่ก็ดำเนินการให้เสร็จสรรพ และ รวดเร็ว หลังจากดำเนินการกลับเข้าที่พัก..... การเดินทางข้ามฝั่งโขง เริ่มต้นขึ้น ป ร ะ เ ท ศ ไ ท ย : เช้าตรู่พระอาทิตย์เริ่มส่องแสงรอดผ่านหมู่เมฆลงมาสู่ผืนดิน เป็นสัญญานของการเริ่มต้นวันใหม่ วันที่ผมจะออกเดินทางไปสัมผัสวิถีชีวิตของประเทศบ้านใกล้เรือนเคียง ผมเดินทางออกจากที่พักเพื่อเดินทางไปยัง จุดผ่านแดนบริเวณสะพานมิตรภาพ ไทย-ลาว แห่งที่ 1 ซึ่งเป็นสะพานที่เชื่อมต่อจังหวัดหนองคาย เข้ากับ กรุงเวียงจันทน์ การเดินทางครั้งนี้ดูเหมือนจะราบรืนไปเสียทุกอย่าง แต่เมื่อเดินทางไปถึงจุดผ่านแดนก็ต้องประสบกับปัญหาเมื่อรถยนต์ที่ขับไปนั้นไม่สามารถข้ามฝั่งได้ ( เนื่องจากคนขับไม่มีใบขับขี่สากลและไม่ได้ขอใบอะไรสักอย่างนี่แหละ! ) ด้วยความที่ไม่ได้ศึกษาหาข้อมูลต่าง ๆ ให้ดีเสียก่อน มาถึงที่แล้วจะไม่ได้ข้ามไปก็จะยังไงอยู่ จึงปรึกษาเจ้าหน้าที่บริเวณจุดผ่านแดนนั้น ทางเจ้าหน้าที่ก็แนะนำว่าสามารถไปได้หลายแบบ เช่น เหมารถตู็ทัวร์ ขึ้นรถบัส หรือเหมารถชาวบ้านแถวนั้นข้ามไปก็ได้ เมื่อรู้แล้วผมจึงคิดว่าเหมารถชาวบ้านเข้าไปดีกว่าจะได้มีเพื่อนคุยด้วย (ข้ามไปส่งอย่างเดียวพอถึงประเทศลาวเราต้องนั่งรถต่อเข้าไปในเมืองเอง) จากนั้นผมจึงเดินไปหารถเพื่อข้ามฝั่งไป ผมไปเจอกับรถคันเก่าสีดำ มีคุณลุงผู้ชายผู้ชายเป็นคนขับ เราตกลงราคากันที่ 300 บาท เมื่อตกลงกันเสร็จก็ขึ้นรถทันที เริ่มเดินทางออกจาก ป ร ะ เ ท ศ ไ ท ย รถเริ่มเคลื่อนขึ้นบนสะพานใหญ่ที่มีความหมายคือความสัมพันธ์ของสองประเทศ ระหว่างทางนั้นผมก็ได้คุยกับคุณลุงคนขับ พอทราบข้อมูลว่าจริง ๆ แล้วแกอาศัยอยู่ในประเทศลาว แกเป็นคนไทยนะแต่ได้ภรรยาเป็นชาวลาวจึงได้ไปอาศัยอยู่ในประเทศลาว คุณลุงแกเป็นคนอัธยาสัยดียิ้มง่าย คุยสนุก นั่งรถผ่านมาครึ่งทางแกก็ชี้ให้ผมดูรอยต่อข้ามเขตของสองประเทศ......เข้าสู่ ป ร ะ เ ท ศ ล า ว ป ร ะ เ ท ศ ล า ว : รถแล่นผ่านรอยต่อของประเทศไทยเข้าสู่ประเทศลาวที่แรกที่ผมก้าวเท้าสู่ผืนดินประเทศลาว ณ ด่านผ่านแดนประเทศลาวคุณลุงที่มาส่งผมก็มีน้ำใจติดต่อรถที่จะพาท่องเที่ยวในตัวเมืองเวียงจันทน์ให้โดยเป็นรถ CR-V นั่งได้ 4 - 5 คน สบาย ๆ เลย มีคุณลุงอีกคนเป็นคนขับ คุณลุงคนนี้มีอัธยาสัยดี คุยเก่ง แถมแนะนำสถานที่ต่าง ๆ ให้ผมรู้จักเป็นเหมือนไกด์นำเที่ยวไปในตัวเลย รถเริ่มแล่นออกจากด่านผ่านแดนประเทศลาวไปตามถนนสายหนึ่ง ที่ไม่ได้ทันสมัยมากแต่ตลอดเส้นทางมันแฝงไปด้วยเสน่ห์บางอย่างที่ผมไม่สามารถหยุดดูได้ คือ หญิงสาวที่เมืองนี้ทุกคนไม่มีใครใส่กางเกงเลยทุกคนล้วนนุ่งผ้าซิ่น หรือ ที่เราเรียกกันว่าผ้าถุงนี่แหละ เมืองเวียงจันทน์แม้เป็นเมืองหลวงแต่แตกต่างกับทุกเมืองหลวงบนโลกอย่างสิ้นเชิง มันไม่มีห้างใหญ่ ไม่มีตึกสูง ไม่ผู้คนเบียดเสียดวุ่นวาย มีเพียงตึกเล็ก ๆ ที่น่ามอง บ้านเรือนเก่า ๆ ที่น่าอยู่ และผู้คนที่มีนิสัยน่ารักยิ้มง่ายทักทายอ่อนโยน การจราจรที่ไม่แออัดแถมเป็นระเบียบ ที่เเรกที่คุณลุงพาผมมา คือ พระธาตุหลวง เจดีย์สีทองเหลืองอร่ามตั้งตระหง่านอยู่กลางเมืองเวียงจันทน์ ผู้คนที่เหลื่อมใสศรัทธา ในพระพุทธศาสนาคงไม่พลาดที่จะได้มาสักการะเพื่อความเป็นสิริมงคลสักครั้งในชีวิตใกล้ ๆ กันยังมีวัดพระธาตุหลวงซึ่งเป็นวัดที่ชาวลาวให้ความเลื่อมใสศรัทธาเป็นอย่างมาก ที่แรกผ่านไป ป ร ะ เ ท ศ ล า ว : จากความเป็นศาสนามุ่งหน้าสู่ความเป็นประวัติศาสตร์ สถานที่ ๆ ไม่ไกลจาก พระธาตุหลวงมากนัก ตั้งอยู่ใจกลางเมืองเช่นกันที่นี่มีชื่อว่าประตูซัย หรือ ประตูชัย เป็นสิ่งที่แสดงออกในเชิงสัญลักษณ์ที่ลาวได้รับเอกราชคืนจากฝรั่งเศส ประตูซัยลาวมีลักษณะคล้ายประตูชัยของฝรั่งเศสมาก ผมมีโอกาสเดินเข้าไปดูภายในประตูชัย ภายในมีภาพวาดที่สวยงามและแสดงประวัติศาสตร์ของชนชาติลาว เมื่อขึ้นไปด้านบนสามาถรมองเห็นทัศนียภาพของประเทศลาวได้หลางหลายมุม และถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งจุดที่ถ้าใครไปลาวแล้วไม่ไปประตูชัยเหมือนไปไม่ถึง ท่องเที่ยวได้เพียงสองเหมือนจะน้อยนะแต่เมื่อมองดูเวลาก็ปาไปเกือบบ่ายแล้ว ( ผมตั้งใจไปแค่วันเดียวเพราะมีงานที่ต้องกับมาทำต่อ ) ผมจึงให้ลุงขับรถพาชมรอบ ๆเมือง พอเข็มนาฬิกาชี้ที่เลข 2 บนหน้าบัดนาฬิกาเป็นสัญญานที่ผมต้องโบกมือลาประเทศลาวแล้ว คุณลุงขับรถมาส่งผมที่ด่านผ่านแดน ตอนกลับคุณลุงแนะนำว่าให้ขึ้นรถบัสข้ามไปดีกว่าถูกกว่าเหมาเขา จะได้ไม่เสียเงินเยอะ เมื่อขึ้นรถบัสเต็มล้อก็เริ่มเคลื่อนที่ไปข้างหน้าเข้าสู่สะพานมิตรภาพกลับสู่ ป ร ะ เ ท ศ ไ ท ย การเดินทางครั้งนี้มันอาจไม่สมบูรณ์เท่าไหร่ แต่สิ่งที่ได้มันคือความสุขจากใจถึงใจของผู้คนคน การเดินทางครั้งนี้อาจไม่ได้ภาพถ่ายที่สวยงามผ่านเลนส์กล้อง แต่ได้ความรู้สึกที่สวยงามกับสิ่งที่ได้เห็นผ่านเลนส์สายตา สัญญาว่าเราจะได้พบกันอีก ส ะ บ า ย ดี ป ร ะ เ ท ศ ล า ว