ผู้อ่านคงจะเคยได้ยินคำว่า “ยอมความ” กันมาบ้างใช่มั้ยครับ คำว่ายอมความเรามักได้ยินกันบ่อย ๆ ในคดีที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ หรือสัญญาในทางแพ่งเช่น ลูกหนี้ยินยอมผ่อนชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้โดยเจ้าหนี้ยอมลดหนี้ให้บางส่วน เป็นต้นซึ่งในทางแพ่ง เราเรียกว่า “ประนีประนอมยอมความ”ส่วนการยอมความในคดีอาญานั้น เราอาจเคยได้ยินกันมาบ้างตามข่าวต่าง ๆ เช่น นาย ก. หลอกลวงนางสาว ข. ว่าเป็นนักธุรกิจชั้นนำและชักชวนให้มาร่วมลงทุนด้วย สุดท้ายพอได้เงินแล้วนาย ก. ก็เชิดเงินหนีไปต่อมาตำรวจตามจับนาย ก. ได้ แต่นางสาว ข. ซึ่งเป็นผู้เสียหายได้รับเงินคืนครบทุกบาทแล้ว จึงไม่ติดใจเอาความกับนาย ก.อีกต่อไป เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงไม่ดำเนินคดีและปล่อยตัว นาย ก. ไปเคยสงสัยกันมั้ยครับ ว่าการยอมความในคดีอาญานั้น เค้าสามารถยอมความกันได้ง่าย ๆ ทุกคดีเลยรึเปล่า ?สมมติว่าฆ่าคนตายมา หากยินยอมชดใช้ค่าเสียหายให้กับญาติผู้ตายแล้วจะขอให้ยอมความได้หรือไม่ ?ก่อนอื่นผมขออธิบายก่อนว่า ในคดีอาญานั้นจะไม่เหมือนกับคดีแพ่งซะทีเดียว เพราะนอกจากความเสียหายด้านทรัพย์สินแล้วในคดีอาญายังมีความเสียหายที่เกี่ยวข้องกับชีวิต ร่างกาย และเสรีภาพอีกด้วยดังนั้น จึงมีเพียงคดีอาญา “บางประเภท” เท่านั้น ที่คู่กรณีสามารถยอมความกันได้ตามกฎหมาย ซึ่งผมขอยกตัวอย่างเป็นบางเรื่องพอให้เห็นภาพ เช่น- ความผิดฐานหมิ่นประมาท- ความผิดฐานฉ้อโกง (ยกเว้นการฉ้อโกงประชาชน)- ความผิดฐานโกงเจ้าหนี้- ความผิดฐานยักยอกทรัพย์- ความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์- ความผิดฐานบุกรุก (ยกเว้นมีผู้ร่วมบุกรุกหลายคน ใช้กำลังหรืออาวุธ หรือบุกรุกในเวลากลางคืน) เป็นต้นความผิดเหล่านี้ ภาษากฎหมายเราเรียกว่า “ความผิดอันยอมความได้” หรือ “ความผิดต่อส่วนตัว” (สำหรับบทความนี้ผมขอใช้คำว่าความผิดต่อส่วนตัว)โดยความผิดต่อส่วนตัวนี้ ผู้เสียหายสามารถยอมความ ไม่เอาผิดแก่ผู้ต้องหาหรือจำเลยได้ โดยแสดงเจตนาให้ชัดแจ้งว่าไม่ติดใจเอาความกับผู้เสียหายหรือจำเลยอีกต่อไปซึ่งการแสดงเจตนายอมความนี้ กฎหมายไม่ได้บังคับว่าจะต้องทำเป็นหนังสือหรือเอกสารสัญญา แต่ทางที่ดีก็ควรทำเป็นลายลักษณ์อักษรให้ชัดเจนไปเลยจะดีกว่าการยอมความที่มีเงื่อนไขให้ต้องกระทำก่อนจึงจะถือว่าไม่ติดใจเอาความ เช่น ตกลงกันว่าหากจำเลยคืนเงินที่ยักยอกไปแก่ผู้เสียหายจนครบถ้วนแล้ว ให้ถือว่าผู้เสียหายไม่ติดใจเอาความ หรือผู้เสียหายตกลงว่าไม่ประสงค์ที่ให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีกับจำเลย โดยมีเงื่อนไขว่าจำเลยต้องออกไปจากที่ดินของผู้เสียหายภายใน 2 เดือนกรณีแบบนี้ไม่ถือว่าเป็นการยอมความโดยถูกต้องตามกฎหมาย เพราะถ้าหากไม่มีการปฏิบัติตามเงื่อนไขแล้วการยอมความก็ยังคงไม่เกิดขึ้น จึงต้องถือว่ายังไม่มีการยอมความกันนั่นเองการยอมความที่ถูกต้องตามกฎหมายจะมีผลทำให้สิทธินำคดีอาญามาฟ้องระงับไป ผู้ต้องหาหรือจำเลยจะหลุดพ้นจากความผิดในข้อหาที่ได้ยอมความ ส่วนผู้เสียหายหรือพนักงานอัยการจะไม่สามารถฟ้องคดีในข้อหาที่ยอมความได้อีกลักษณะพิเศษของความผิดต่อส่วนตัวอีกอย่างหนึ่งที่ผู้เสียหายจะต้องระมัดระวังให้ดีก็คือ ในความผิดต่อส่วนตัวนั้น ผู้เสียหายจะต้องร้องทุกข์ หรือฟ้องคดีต่อศาลภายใน 3 เดือนนับแต่วันที่รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิดเพราะถ้าหากไม่ร้องทุกข์ หรือฟ้องคดีต่อศาลภายในระยะเวลาที่กำหนด "คดีเป็นอันขาดอายุความ"สำหรับความผิดอีกประเภทหนึ่ง ซึ่งตรงข้ามกับความผิดต่อส่วนตัว หรือที่เรียกกันว่า “ความผิดอาญาแผ่นดิน” นั้นตามเจตนารมณ์ของกฎหมายจะถือว่า “รัฐเป็นผู้เสียหาย” จึงไม่อาจยอมความได้แม้ผู้ที่ถูกกระทำจะไม่ติดใจเอาความก็ตามเช่น ความผิดฐานฆ่าผู้อื่น / ทำร้ายร่างกาย ลักทรัพย์ / ชิงทรัพย์ / หรือแม้แต่ความผิดฐานประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายซึ่งความผิดเหล่านี้ แม้ว่าผู้เสียหายหรือครอบครัวจะได้รับการเยียวยาจากผู้กระทำผิด ก็ไม่สามารถนำเหตุผลดังกล่าวมาอ้างเพื่อยอมความกันได้แต่ศาลอาจนำเรื่องการเยียวยาเหล่านั้นมาพิจารณาเพื่อลดหย่อนโทษให้เบาลงได้ครับขอบคุณภาพจาก Pixabay.comรูปภาพที่ 1. https://bit.ly/2zT9TLvรูปภาพที่ 2. https://bit.ly/2Yzn3HRรูปภาพที่ 3. https://bit.ly/3aZAx2mรูปภาพที่ 4. https://bit.ly/3aY8Zucรูปภาพที่ 5. https://bit.ly/2WrOws