เรารู้จักนามนี้ว่าเป็นนามของราชินีผู้เลอโฉมแห่งราชวงศ์อียิปต์ ผู้เต็มไปด้วยความงามและน่าหลงไหน แต่จริงๆแล้วพระองค์ทรงงามอย่างที่เราคิดไว้หรือเปล่า ตามหลักฐานทางโบราณคดีที่ปรากฏรูปลักษณ์ของพระองค์นั้นไม่ว่าจะเป็นตามรูปแกะสลักรวมไปถึงเหรียญกษาปณ์ไม่ได้แสดงให้เห็นถึงความงามของพระองค์เลย แต่หากว่าพระองค์ไม่ได้เป็นผู้ที่มีความงามอย่างที่ถูกกล่าวขานแล้วนั้น ทำไมมหาบุรุษแห่งยุคอย่าง จูเลียส ซีซาร์ และ มาร์ค แอนโทนี ถึงยังคงผูกใจกับพระองค์ยิ่งนัก(ภาพที่ 2 British Library/Unsplash)และจริงๆแล้วว่าคลีโอพัตรานั้นเป็นนามของราชินีแห่งอียิปต์มาแล้วถึง 7 พระองค์ ผู้คลีโอพัตราที่เรากล่าวถึงอยู่นี้เป็นพระนางคลีโอพัตราที่ 7 เหตุที่เราไม่เคยได้ยินเรื่องราวของคลีโอพัตราที่ 1-7 นั้น อาจเป็นเพราะเรื่องราวเกี่ยวกับพระองค์ทั้ง 6 นั้นไม่ได้มีอะไรโดดเด่นจนเป็นที่จดจำนั้นจึงทำให้ชื่อของคลีโอพัตราทั้ง 6 นั้นค่อยๆถูกลืมไปต้นกำเนิดของพระนางคลีโอพัตราพระนางเป็นธิดาของ กษัตริย์ปโตเลมีที่ 12 และพระนางคลีโอพัตราที่ 5 ความหมายของพระนามพระองค์นั้นหมายความว่า “เทพีคลีโอพัตรา ที่เป็นที่รักยิ่งของบิดา” พระองค์ทรงประสูติเมื่อ 69 ปีก่อนคริสต์ศักราช ที่จริงแล้วราชวงศ์ของพระองค์ไม่ใช่เชื้อสายอียิปต์แต่เป็นเชื้อสายชาวกรีก เหตุนั้นเริ่มจากการที่พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชแห่งมาซิโดเนียเข้ามาโจมตีอียิปต์และได้สถาปนากษัตริย์ชาวกรีกเพื่อขึ้นเป็นฟาโรห์นับแต่นั้นมา นั้นเป็นสาเหตุที่ฟาโรห์ราชวงศ์ปโตเลมีของพระองค์ไม่ค่อยเป็นที่ยอมรับของชาวอียิปต์สักเท่าไหร่ อีกทั้งฟาโรห์แต่ละพระองค์ไม่สนใจที่จะศึกษาภาษาอียิปต์ทำให้ราชวงศ์นี้ไม่สามารถพูดภาษาอียิปต์ได้ส่วนมากจะอาศัยล่ามแปรภาษา แต่พระนางคลีโอพัตรานั้นต่างออกไป พระองค์ทรงศึกษาอียิปต์อย่างแตกฉานจนสามารถพูดและเขียนได้พระองค์ยังทรงพูด ภาษฮิบรู ภาษาละติน ภาษามาซิโดเนีย และภาษาเปอร์เซีย อีกทั้งพระองค์ยังทรงมีความชำนาญในด้าน คณิตศาสตร์ รัฐศาสตร์และศิลปศาสตร์ สิ่งเหล่านี้นั้นเป็นสิ่งยืนยันในความเฉลียวฉลาดของพระนาง อีกทั้งพระนางยังมีความสามารถทางด้านวาทศิลป์เป็นอย่างมากรวมไปเสียงพระสุรเสียงอันไพเราะของพระองค์ยิ่งทำให้ผู้ที่ได้พูดคุยสนทนากับพระองค์นั้นเคลิบเคลิ้มและคล้อยตามพระองค์ได้อย่างง่ายได้ ด้วยพระปรีชาและสามารถทำให้พระองค์ได้ครองใจของชาวอียิปต์รวมไปถึงหัวใจของยอดบุรุษทั้งสองอย่าง จูเลียส ซีซาร์ และ มาร์ค แอนโทนี(ภาพที่ 3 Color Crescent/Unsplash)ตามความเชื่อของชาวอียิปต์นั้นผู้ที่มีเชื้อสายฟาโรห์นั้นจะต้องแต่งานกันเองภายในต้นตระกูลของตัวเอง นั้นหมายความว่าพี่น้องต้องแต่งงานกันเองเพื่อจะรักษาสายเลือดอันบริสุทธิ์ซึงเชื่อกันว่าเป็นเชื้อสายของเทพเจ้า นั้นทำให้พระนางคลีโอพัตราได้ทรงอภิเษกกับพระอนุชาของพระองค์ ในตอนนั้นพระองค์อยู่ในวัยได้ 18 ปี แต่พระอนุชาของพระองค์นั้นอยู่ในวัย 12 ปี ด้วยช่วงอายุที่ห่างกันทำให้ความสามารถและประสบการณ์ในด้านการปกครองที่แตกต่างกันนั้นจึงเป็นเหตุที่พระนางนั้นมีความโดดเด่นอย่างมากในการบริหารบ้านเมือง ด้วยความที่พระนางนั้นเฉลียวฉลาดและรู้รอบด้าน ทำให้เหล่าข้าราชสำนักไม่พอใจพระนางที่เข้ามาดูแลทุกอย่างด้วยพระนางเองเพราะความฉลาดของพระนางทำให้ยาต่อการทุจริตใดๆเหล้าข้าราชสำนักจึงทำการยุยงฟาโรห์ปโตเลมีที่ 13 ว่าพระนางคลีโอพัตรานั้นจะเข้ามาทรงยึดอำนาจจากพระองค์ จึงเป็นเหตุให้พระนางไม่ลงลอยกับฟาโรห์ปโตเลมีที่ 13 ผู้ที่เป็นทั้งพระสวามีและพระอนุชาของพระองค์ จนกระทั่งพระนางคลีโอพัตราไม่ได้ใช้นามของฟาโรห์ปโตเลมีที่ 13 ในการลงนามในเอกสารสำคัญต่างๆแต่กลับใช้นามของพระองค์เองรวมไปถึงได้ทรงกำหนดให้บนเหรียญกษาปณ์มีเพียงพระพักตร์ของพระนามแต่เพียงผู้เดียว นั้นทำให้เป็นที่ไม่พอใจอย่างมากแก่เหล่าข้าราชสำนักและฟาโรห์ปโตเลมีที่ 13 นั้นทำให้เกิดการโค่นล้มพระนางจากเหล่าข้าราชสำนักทำให้พระนางต้องหนีออกจากเมืองอเล็กซานเดรียพร้อมขนิษฐาของพระองค์นามอาร์สิโนเอไปตั้งหลักอยู่ที่ซิเรียเหตุต่อจากนี้นั้นเป็นสิ่งที่สร้างชื่อเสียงให้แก่พระนางเป็นอย่างมากนั้นเป็นเพราะในขณะที่อียิปต์เกิดศึกระหว่างคลีโอพัตรากับฟาโรห์ปโตเลมีที่ 13 นั้นทางกรุงโรมก็เกิดศึกระหว่าง จูเลียส ซีซาร์ และ ปอมเปอุส มักนุส แต่ผลปรากฏว่าจูเลียส ซีซาร์กำชัยชนะเหนือปอมเปอุส มักนุส นั้นทำให้ปอมเปอุส มักนุสนั้นต้องหนีไปขอความช่วยเหลือจากฟาโรห์ปโตเลมีที่ 13 เพราะปอมเปอุส มักนุสนั้นมีความสัมพันธ์อันดีกับฟาโรปโตเลมีที่ 12 บิดาของฟาโรห์ปโตเลมีที่ 13 เป็นนั้นเป็นสิ่งที่เขาคิดผิดเป็นอย่างมากเพราะทางฟาโรห์ปโตเลมีที่ 13 นั้นได้ทำการปรึกษากับข้าราชสำนักถึงการขอลี้ภัยของปอมเปอุส มักนุส พระองค์ทรงเชื่อในความคิดเห็นของข้าราชสำนักทั้งหลายว่าให้สังหารปอมเปนุส มักอุส และส่งหัวของปอมปอุส มักนุส ไปเป็นเครื่องบรรณาการแก่จูเลียส ซีซาร์ เมื่อปอมเปอุส มักนุส มาถึงทางฟาโรห์ปโตเลมีที่ 13 ก็สั่งคนไปสังหาร ปอมเปอุส มักนุสทันทีแต่สิ่งที่ผิดคาดสำหรับฟาโรห์ปโตเลมีที่ 13 นั้นก็คือการสังหารปอมเปอุส มักนุส นั้นเองเพราะจูเลียส ซีซาร์นั้นไม่ได้ต้องการสังหารปอมเปอุส มักนุสเพราะว่า ปอมเปอุ มักนุส นั้นเป็นสามีเพียงคนเดียวของน้องสาวจูเลียส ซีซาร์รวมไปถึงเป็นพ่อของหลานๆเขา นั้นจึงสร้างความไม่พอใจเป็นอย่างมากแก่จูเลียส ซีซาร์ ทำให้จูเลียส ซีซาร์กรีธาทัพเข้ายึดเมืองอเล็กซานเดรียในทันที (ภาพที่ 4 Namanja Peric/Unsplash)เมื่อพระนางคลีโอพัตรามองเห็นช่องทางที่จะกลับคืนสู่อาณาจักรของพระองค์ พระนางจึงหาทางเข้าพบจูเลียสซีซาร์โดยการแอบซ่อนไปในม้วนพรมโดยให้ทาสยกพรมนั้นไปให้จูเลียส ซีซาร์พร้อมเครื่องบรรณาการต่างๆ เมื่อวางพรมนั้นลงพระนางก็กลิ้งออกมาจากพรม นั้นทำให้จูเลียส ซีซาร์ประหลาดใจเป็นอย่างมาก หลังจากนั้นพระนางจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้จูเลียส ซีซาร์ฟัง นั้นทำให้จูเลียส ซีซาร์เป็นตัวกลางในการเคลียปัญหาระหว่างฟาโรห์ปโตเลมีที่ 13 และพระนางคลีโอพัตรา แต่เมื่อพระนางคลีโอพัตรากับฟาโรห์ปโตเลมีที่ 13 กลับมาครองราชย์ร่วมกันได้ไม่นานทั้งสองก็ได้แตกคอกันอีกครั้งคราวนี้พระนางคลีโอพัตราได้ขอความช่วยเหลือจากจูเลียส ซีซาร์ให้ทำการสู้กับฟาโรห์ปโตเลมีที่ 13 การศึกครั้งนี้ทำให้หอหนังสือของอเล็กซานเดรียถูกไฟไหม้ไปกว่าครึ่งทำให้บันทึกหลายๆอย่างนั้นเสียหายนับได้ว่าความเป็นมาและความรู้ของมนุษยชาตินั้นได้หายไปอย่างน่าเสียดายกับเหตุการณ์ครั้งนี้และศึกครั้งนี้เองก็ยังเป็นจุดจบของฟาโรห์ปโตเลมีที่ 13 อีกด้วย เมื่อจบศึกแล้วจูเลียส ซีซาร์ก็ได้ทรงให้พระนางคลีโอพัตรา อภิเษกสมรสกับอนุชาคนเล็กของพระนางมีนามว่าฟาโรห์ปโตเลมีที่ 14 ซึงอายุเพียง 10 ปี ความต่างระหว่างวัยนั้นทำให้พระนางคลีโอพัตรานั้นมีอำนาจเต็มที่ในการปกครองบ้านเมือง แต่การแต่งงานครั้งนี้ก็เป็นเพียงการแต่งในนามเท่านั้นเองเมื่อใครๆต่างก็รู้ว่าพระนางนั้นเป็นชู้รักกับจูเลียส ซีซาร์ แต่นั้นก็เป็นเหตุผลที่ข้าราชสำนักไม่กล้าต่อต้านพระองค์อีกครั้งเพราะจูเลียส ซีซาร์ที่คอยอยู่ข้างพระนางนั้นเองต่อมาจูเลียส ซีซาร์นั้นได้ยกทัพกลับกรุงโรมได้ไม่นานทางด้านคลีโอพัตราก็ได้ตั้งครรภ์และให้ประสูติพระโอรส แต่ทุกคนก็ย่อมรู้ดีว่านั้นเป็นบุตรระหว่างคลีโอพัตราและจูเลียสซีซาร์และพระนางเองก็ไม่ได้ทรงปกปิดชาติกำเนิดของบุตรชายแต่อย่างใดแต่กลับตั้งชื่อของบุตรชายตามชื่อของบิดาว่า ปโตเลมี ซีวาร์ หรือ ซีซาเรียน ในระหว่างที่จูเลียสซีซาร์เตรียมตัวจะขึ้นครองกรุงโรมนั้นก็ได้เชิญใช้คลีโอพัตรามายังกรุงโรม พระนางได้ให้ซีซาเรียนติดตามไปด้วยหวังว่าจะให้ลูกและพ่อได้พบกันเมื่อไปถึงพระนางได้รับการต้อนรับอย่างสมพระเกียรติแต่สิ่งที่ผิดไปจากที่พระนางคิดนั้นคือ จูเลียส ซีซาร์นั้นไม่ได้ยอมรับอย่างเต็มใจหรือแสดงถึงการยินดีในการมีซีซาเรียนเลย นั้นเป็นเพราะถ้าเขายอมรับว่าซีซาเรียนเป็นบุตรของเขา นั้นแปลว่าซีซาเรียนจะกลายเป็นรัชทายาทของกรุงโรมทันที นั้นก็เท่ากับว่ากรุงโรมจะมีสายเลือดผสมเป็นทายาท ซึ่งอาจสร้างความไม่พอใจให้กับบุคคลส่วนมากในอาณาจักรของเขา แต่ถึงกระนั้นพระนางคลีโอพัตราก็ยังทรงหวังว่าจูเลียส ซีซาร์นั้นจะทรงแต่งตั้งซีซาเรียนเป็นรัชทายาท แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อจูเลียสซีซาร์ได้ถูกสังหารระหว่างการประชุมโดยบุตรบุญธรรมของเขานามจูนิตุส มาคุส และเมื่อสิ้นจูเลียส ซีซาร์นั้นก็ต้องหารัชทายาทที่ถูกแต่งตั้งไว้ก่อนขึ้นมารับตำแหน่งแต่ปรากฏว่ารัชทายาทที่จูเลียส ซีซาร์ตั้งไว้ก่อนหน้านั้นไม่ใช่ซีซาเรียนแต่เป็นหลานชายของเขานาม ออกัสตัส ซีซาร์ นั้นทำให้พระนางคลีโอพัตราต้องเดินทางกลับไปยังอาณาจักรอเล็กซานเดรียด้วยความผิดหวังและเศร้าเสียใจเป็นอย่างมากหลังจากที่พระนางกลับมายังอเล็กซานเดรียได้ไม่นานพระสวามีของพระนางก็ได้สวรรคตลง บางทีก็ว่ากันว่าสวรรคตพระถูกพระนางวางยาพิษบ้างก็ว่าสวรรคตลงเพราะพระองค์ทรงป่วยมาสักพักแล้ว แต่อย่างไรก็ตามเมื่อสวามีผู้ที่เป็นทั้งน้องชายและสามีของพระนางได้สวรรคตลงพระนามก็ได้ให้ซีซาเรียนบุตรชายของพระนางขึ้นครองราชย์พร้อมกับพระนาง หลังจากนั้นพระนางยังทรงสั่งสังหารพระขนิษฐาของพระนางอีกด้วย เพื่อความมั่นคงในอำนาจของพระนางเอง ซึกการฆ่ากันของพี่น้องในราชวงศ์อียิปต์สมัยนั้นถือได้ว่าเป็นเรื่องที่สามารถเห็นได้เป็นปกติในยุคนั้น หลังจากพระนางได้เคลียปัญหาทุกอย่างของพระนางเสร็จ พระนางได้หันมาบริหารบ้านเมืองอย่างจริงจังด้วยความสามารถของพระนางนั้นที่พูดได้หลายภาษา ทำให้การค้าขายเป็นไปอย่างราบรื่น ถือได้ว่าอียิปต์ยุคที่มีคลีโอพัตราเป็นผู้ปกครองนั้นเป็นอียิปต์ยุคที่รุ่งเรืองที่สุดอีกหนึ่งยุคเลยก็ว่าได้ พระนางคงจะใช้ชีวิตอย่างสงบสุขและสุขสบายไปตลอดชีวิตหากไม่มีบุรุษผู้ที่เคยเป็นทหารคู่กายของจูเลียส ซีซาร์ นามมาร์ค แอนโทนี้เข้ามาในชีวิตและอาณาจักรของพระนางในขณะเดียวกันที่กรุงโรมนั้นก็ยังไม่ได้สงบแต่อย่างไรเมื่อเกิดศึกภายในโดยเป็นฝั่งรัชทายาทของจูเลียส ซีซาร์ที่นำโดยออกัสตัส ซีซาร์และฝั่งทหารที่เคยติดตามจูเลียส ซีซาร์นำโดย มาร์ค แอนโทนี แต่ทั้งสองฝ่ายนั้นก็ย่อมต้องการแรงสนับสนุนจากอียิปต์แต่พระนางเองก็สามารถหลีกเลี่ยงการเลือกฝ่ายครั้งนี้ได้อย่างชาญฉลาด แต่สุดท้ายฝ่ายที่ชนะศึกครั้งนี้ได้แก่ฝ่ายของมาร์ค แอนโทนี่ เมื่อเขาขึ้นเป็นผู้นำของโรมันนั้นทำให้เขาอยากที่จะประกาศศักดาเหมือนที่จูเลียส ซีซาร์เคยทำไว้ เขาจึงเริ่มที่จะทำสงครามกับเมืองต่างแต่นั้นก็หมายความว่าเขาก็ต้องการแรงสนับสนุนด้านการเงินในเวลานั้นอียิปต์นับว่าเป็นประเทศที่ร่ำรวยเป็นอย่างมาก มาร์ค แอนโทนีจึงได้เชิญพระนางคลีโอพัตรา มาปรึกษาหารือกัน เมื่อครั้งแรกที่มาร์ค แอนโทนีได้พบพระนางนั้น พระนางทรงนั่งเรือที่ประดับไปด้วยเพชรนิลจินดาและทองคำอย่างสวยงาม เมื่อทั้งสองได้คุยกันนั่นยิ่งทำให้มาร์ค แอนโทนีหลงใหลในความสามารถและความฉลาดของพระนางและเมื่อทั้งสองได้ติดต่อกันเรื่อยๆทำให้ทั้งสองนั้นได้ตกหลุมรักกัน มาร์ค แอนโทนีได้หลงใหลในพระนางเป็นอย่างมาก ขนาดที่เขาสามารถตีเมืองไหนได้เขาก็มอบให้พระนางทันที นั้นทำให้อียิปต์ในตอนนี้ขยายอาณาเขตได้อย่างรวดเร็วแต่นั้นก็เป็นจุดเริ่มต้นให้โรมันไม่พอใจในตัวของพระนาง ต่อมาพระนางทรงได้มีทายาทกับ มาร์ค แอนโทนี พระนางมีลูกแฝดโดยเป็นแฝดชายหญิง พระโอรสมีพระนามว่า อเล็กซานเดอร์ เฮลิออส ส่วนพระธิดามีนามว่าคลีโอพัตรา เซเลเน และเมื่อทางโรมเกิดความไม่พอใจในตัวพระนางคลีโอพัตราและมาร์ แอนโทนีทำให้มาร์ค แอนโทนีต้องเดินทางกลับไปแต่งงานกับ ออกตาเวียน้องสาวของออกตาเวียนผู้นำโรมคนปัจจุบันแต่นั้นก็ยังไม่สามารถหยุดความรักที่ มาร์ค แอนโทนีมีให้แก่พระนางได้ เขายังคงกลับมาหาพระนางอยู่เสมอและเข้าพิธีแต่งงานกับพระนางอย่างเป็นทางการ ทางมาร์ค แอนโทนีเขาคิดที่จะตั้งรกรากอยู่ที่นี่อย่างถาวร นั้นจึงทำให้พระนางมีบุตรคนที่ 4 และเป็นบุตรคนที่ 3 ของพระนางกับ มาร์คแอนโทนี เพราะเหตุนี้ยิ่งทำให้ทางด้านออกตาเวียไม่พอใจพระนางเป็นอย่างมากและยังกล่าวว่าพระนางเป็นนางแพศยาหรือแม้กระทั่งกล่าวหาว่าพระนางเป็นโสเภณีแห่งอียิปต์(ภาพที่ 5 Levi Meir Clancy/Unsplash)ต่อมาทางมาร์ค แอนโทนี ยังคงทำการศึกอย่างต่อเนื่องและด้วยความสามารถของเขานั้นก็ทำให้เขาชนะในทุกศึกทำให้เขาตีเมืองได้มากมายทุกเมืองที่เขาตีมาได้เขาก็ยกให้พระนางคลีโอพัตราทั้งหมด จนกระทั่งออกตาเวียนที่มีความไม่พอใจในตัว มาร์ค แอนโทนี อยู่ก่อนแล้วจากเรื่องของนองสาวเขาที่ทาง มาร์คแอน โทนีไม่ได้สนใจไยดี รวมไปถึงการที่มาร์ค แอนโทนีได้ยกเมืองที่ตีมาได้ให้อียิปต์ ทางออกตาเวียนนั้นก็ได้เข้าไปปรึกษาทางสภาของโรมและชี้แจงสิ่งที่มาร์ค แอนโทนีทำนั้นเป็นปฏิปักษ์กับกรุงโรมอย่างชัดเจน นั้นทำให้สภากรุงโรมนั้นเห็นด้วยกับความคิดของออกตาเวียนที่จะกำจัดมาร์ค แอนโทนี และพระนาง คลีโอพัตรา และทำการยึดอียิปต์มาเป็นของโรมไม่นานทางกรุงโรมก็ได้กรีธาทัพมายังอียิปต์ ทั้งสองฝ่ายได้ทำสงครามทัพเรือกัน แต่ผู้กำชัยคือผู้ที่พร้อมรบมากกว่าโดยกองทัพของมาร์คแอนโทนี นั้นเสียเปรียบทัพของโรมอย่างมากทั้งทางด้าน กองทัพเรือที่เล็กกว่า อาวุธ ที่น้อยกว่านั้นทำให้โรมชนะศึกครั้งนี้ได้ไม่ยาก ทำให้พระนางคลีโอพัตรา และมาร์คแอนโทนี หนีขึ้นฝั่งไปยังอเล็กซานเดรีย แต่ระหว่างนี้นั้นทัพของมาร์ค แอนโทนี บางส่วนก็ได้ไปเข้าร่วมกับกรุงโรมและทางโรมก็ยังไล่ล่ามาร์ค แอนโทนีและคลีโอพัตราอย่างต่อเนื่อง ในระหว่างหนีนั้นทางมาร์ค แอนโทนีได้รับข่าวว่าพระนางคลีโอพัตราได้ทรงฆ่าตัวตายแล้วด้วยความเสียใจทำให้เขาได้ตัดสินใจฆ่าตัวตายตามพระนางไป แต่นั้นเป็นเพียงข่าวลือพระนางสามารถกลับมาถึงอเล็กซานเดรียได้อย่างปลอดภัยแต่นั้นก็ไม่ได้แปลว่าพระนางจะทรงปลอดภัยจากฝ่ายตรงข้าม เมื่อออกเตเวียนตามล่าพระมาจนมาถึงอเล็กซานเดรียนั้นทำให้พระนางได้ทำการเจรจากับทางอเล็กซานเดรียแต่การเจรจานั้นไม่เป็นผลทำให้พระนางตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวเมื่อเห็นว่าหากพระนางยอมให้ชาวโรมจับตัวพระนางไปพระนางต้องถูกประหารอย่างไม่สมพระเกียรติอย่างแน่นอนดังนั้นพระนางจึงเลือกที่จะปลิดชีพตนเองอย่างทระนงดีกว่าโดนจับไปเยี่ยงทาสนั้นจึงเป็นจุดจบของหนึ่งวีรสตรีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่โลกเคยมีมา “คลีโอพัตรา”ถ้าหากเราไม่นับเรื่องวุ้นๆของหัวใจพระนางแล้ว เราสามารถพูดได้เต็มปากว่าพระนางนั้นเป็นสตรีหรือทรงเป็นผู้ปกครองที่เต็มไปด้วยความสามารถและความรักใครประชาชนเป็นผู้ที่ใส่ใจในความเป็นอยู่ของประชาชนเป็นอย่างมาก เพราะพระองค์ทรงทุ่มเทและทำทุกอย่างเพื่อให้อียิปต์นั้นเจริญรุ่งเรื่องเป็นอย่างมาก มากเท่าที่เราจะรู้ได้ว่าอียิปต์สามารถรุ่งเรืองได้มาแค่ไหน พระนางผู้เป็นเลิศในด้านการเป็นมารดา พระนางผู้เป็นเลิศด้านการปกครอง พระนางผู้เป็นเลิศทางด้านการเป็นภรรยาที่ดี พระนางผู้เป็นสตรีที่โลกต้องจารึก “คลีโอพัตรา ท่ี 7”(ภาพที่ 6 Hassan OUAJBIR/Unsplash)เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !