หลายๆคนคงคุ้นเคยกับคำว่า 'สัตวแพทย์' หรือหมอหมาที่คนทั่วไปชอบเรียกพวกเรา แต่ความจริงแล้วพวกเราไม่ได้เรียนเกี่ยวกับสุนัขเท่านั้นและเส้นทางการเรียน 6 ปีของพวกเรานิสิตสัตวแพทย์ นอกจากจะไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบแล้วยังเต็มไปด้วยขี้วัวและอึของน้องหมาแมวทั้งหลายการเรียนของพวกเราหลายๆคนมีจุดเริ่มต้นที่แตกต่างกันไป บางคนมาเรียนเพราะที่บ้านมีกิจการฟาร์มสัตว์ บางคนมาเรียนเพราะรักสัตว์ หรือแม้แต่บางคนที่มาเรียนเพราะสอบติดเท่านั้น แต่เมื่อพวกเรามาเลือกที่จะเดินเส้นทางเดียวกันแล้วก็ถือว่าพวกเราเป็นนิสิตสัตวแพทย์เหมือนกัน ชีวิตในปี 1 ของพวกเรายังคงสนุกสนาน ร่าเริง ตื่นตาตื่นใจกับสิ่งรอบตัวที่แปลกใหม่ไปเสียหมด ทั้งสถานที่เรียน ผู้คน และโดยเฉพาะอิสระในการใช้ชีวิตที่หลายๆคนใฝ่หา เนื้อหาที่เรียนยังไม่ได้ยากเย็นอะไรมากมายมีความคล้ายคลึงกับตอนมัธยมปลาย แต่พวกเราหารู้ไม่ว่ามีที่สิ่งยิ่งใหญ่(มาก)รอพวกเราอยู่ เวลาผ่านพ้นไป 1 ปี เริ่มเข้าสู่การเรียนในคณะอย่างเต็มตัว ความร่าเริง สนุกสนานที่เคยมีตอนปี 1 เริ่มหายไปแต่มีการเรียนที่เข้มข้นเข้ามาแทนที่ ทั้งวิชาเกี่ยวกับระบบต่างๆในร่างกายสัตว์ รวมถึงวิชาปฏิบัติการที่พวกเราได้สัมผัสอาจารย์ใหญ่จริงๆซึ่งอาจารย์ใหญ่ของเราในตอนนั้นเป็นสุนัข โดยในแต่ละกลุ่มจะได้รับอาจารย์ใหญ่ที่มีความแตกต่างกันออกไปเนื่องจากอาจารย์ใหญ่ของพวกเราได้รับความอนุเคราะห์มาจากเจ้าของหลายๆท่านที่พวกเราอยากจะขอบคุณนับพันครั้งก็ยังไม่เพียงพอ การเรียนในปี 2 ยังคงดำเนินไปพร้อมกับความท้อ ความเหน็ดเหนื่อยที่เริ่มแทรกซึมเข้ามา ทำให้นิสิตสัตวแพทย์บางคนเริ่มค้นพบสิ่งที่ตัวเองต้องการและตัดสินใจที่จะเปลี่ยนแนวทางชีวิตไป พวกเราคนอื่นๆในตอนนั้นก็มีความสงสัยอยู่บ้างว่าทำไมบางคนถึงไม่เดินไปกับพวกเราต่อ แต่เมื่อมองกลับไปจากตอนนี้กลับมีความเข้าใจเป็นอย่างดีและดีใจกับพวกเขาที่ได้เลือกเรียนสิ่งที่ตัวเองรักและชื่นชอบ เมื่อปี 2 ผ่านพ้นไปด้วยความอ่อนล้าที่คิดว่าจะไม่มีอะไรหนักไปกว่านี้อีกแล้ว แต่การเรียนในปี 3 ทำให้พวกเรารู้ว่าเราสามารถเจอสิ่งที่หนักกว่านั้นได้อีกหลายเท่า ในปีนี้เป็นชั้นปีสุดท้ายของการเรียนชั้นพรีคลินิก เนื้อหาจึงมีความเข้มข้นและเยอะมากทีเดียว โดยเฉพาะวิชาพยาธิวิทยาที่เรียนเกี่ยวกับกลไกต่างๆในร่างกายสัตว์ ใช้คำว่ากลไกอาจจะทำให้รู้สึกธรรมดาแต่ถ้าหากลองคิดว่าร่างกายของสิ่งมีชีวิตนั้นมีระบบต่างๆเยอะแยะมากมายขนาดไหน ทั้งระบบไหลเวียนโลหิต ระบบประสาท ระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ และอีกมากมาย มิหนำซ้ำในระบบนั้นๆมีการเกิดกลไกอีกเป็นสิบเป็นร้อย ทำให้วิชาพยาธิวิทยาเป็นวิชามหาโหดอีกวิชาหนึ่งเลยก็ว่าได้ แต่ในทางกลับกันการได้เรียนสิ่งต่างๆมากมายในชั้นพรีคลินิกกลับทำให้รู้สึกว่าสิ่งมีชีวิตรอบตัวเรามีแต่เรื่องน่าอัศจรรย์ไปหมด ทุกอย่างเชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบระเบียบ มีเหตุและผลในตัวมันเอง จนบางทีเรายังทึ่งในการสร้างสิ่งมีชีวิตของธรรมชาติ จนทำให้ความเหน็ดเหนื่อยในการเรียนของพวกเรานั้นถูกบดบังด้วยความอยากรู้อยากเห็น ความตื่นตาตื่นใจ และความหลงใหลในความมหัศจรรย์ของสิ่งมีชีวิต ในช่วงรอยต่อระหว่างชั้นพรีคลินิกพึ่งผ่านพ้นไปและชั้นคลินิกที่กำลังใกล้เข้ามา จะให้อยู่บ้านเฉยๆก็คงจะไม่ใช่นิสิตสัตวแพทย์เพราะพวกเราหลายๆคนต้องเดินทางไปฝึกงานยังสถานที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาล คลินิก สวนสัตว์ หรือฟาร์ม เพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์เกี่ยวกับสาขาวิชาของเราและเก็บเกี่ยวชั่วโมงฝึกงานให้ครบ การฝึกงานของนิสิตสัตวแพทย์จะธรรมดาก็คงไม่ได้เพราะพวกเราได้ลองทำมากันแทบทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นเก็บขี้วัว ขี้หมู ตัดหญ้า รีดนมวัว เก็บไข่ ฉีดยา โดนหมากัด แมวข่วน และสิ่งที่พลาดไม่ได้คือการโดนวัวถีบ ถึงจะมีเจ็บตัวกันไปบ้างแต่ประสบการณ์เหล่านั้นกลับทำให้พวกเราได้เรียนรู้สิ่งที่ไม่สามารถหาได้ในห้องเรียน ทำให้พวกเราเข้าใจว่าการจะเป็นสัตวแพทย์ที่ดีได้นั้นไม่ใช่แค่การรักษาเพียงแค่ตัวสัตว์แต่ต้องสนใจสิ่งต่างๆที่อยู่รอบตัวสัตว์ด้วย เมื่อขึ้นชั้นคลินิกสิ่งที่ตื่นเต้นไม่แพ้การเป็นพี่โตสุดในมหาวิทยาลัยที่ยังต้องเรียนต่ออีก 2 ปีคือการได้เปลี่ยนเครื่องแบบหรือที่หลายๆคนรู้จักกันในนาม ‘เสื้อกาวน์’ ที่ไม่ใช่เสื้อแลปที่ใส่ในห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์แต่อย่างใด แต่เป็นเครื่องแบบที่พวกเราใส่เรียนกันในทุกๆวัน ที่นอกจากจะทำให้เรารู้สึกว่าใกล้ความเป็นสัตวแพทย์มากขึ้นแล้วยังทำให้เรารู้สึกถึงความแก่เวลาออกไปนอกคณะอีกด้วย ขึ้นชื่อว่าชั้นคลินิกก็จะต้องมีการปฏิบัติที่เยอะมากขึ้นแบบชนิดที่ว่ามีเรียนปฏิบัติกันทุกวันเลยทีเดียว ส่วนการเรียนในห้องก็ยังคงมีอยู่และเข้มข้นไม่แพ้ตอนพรีคลินิกเลยมาถึงตอนนี้พวกเราหลายๆคนเริ่มมีเป้าหมายที่ชัดเจนว่าจบไปอยากจะทำอะไร และหลายๆคนที่ตัดสินใจได้ว่าเมื่อเรียนจบ 6 ปีแล้วจะเป็นอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่สัตวแพทย์ แต่ถ้าจะถามว่าเสียดายเวลาที่เรียนมา 6 ปีหรือไม่ ในฐานะนิสิตสัตวแพทย์คนหนึ่งขอตอบเลยว่าไม่มีช่วงเวลาไหนที่ทำให้เรารู้สึกเสียดายเวลาเลยแม้แต่วินาทีเดียวเพราะระหว่างทางพวกเราได้รับอะไรมากมายที่ไม่ใช่แค่เนื้อหาจากตำราเรียนที่ถึงแม้จะเยอะแยะมากมายจนกินพื้นที่สมองของเราไปเกือบ 80 เปอร์เซ็นแล้วก็ตาม แต่พวกเราได้รู้จักความอดทน ความพยายาม การช่วยเหลือผู้อื่น และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการได้เข้าใจว่าชีวิตหนึ่งชีวิตไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ย่อมมีคุณค่าในตัวเองเสมอเครดิตภาพ https://www.canva.com (รูปปก)ภาพประกอบบบทความโดย Pixabay(รูปปกผู้แต่งเป็นผู้จัดทำเอง และ 2 รูปสุดท้ายเป็นรูปของผู้แต่งเอง)