หลังจากผงาดคว้าแชมป์โลกเป็นสมัยที่สองของทีมชาติ " ฝรั่งเศส " ในฟุตบอลโลก 2018 ที่ประเทศรัสเซียเป็นเจ้าภาพ ต้องยอมรับกันตามตรงว่าขุมกำลังทัพตราไก่นั้นแข็งแกร่งทุกตำแหน่งจนทำให้พวกเขาไร้พ่ายในปีนั้น แถมนักเตะดาวรุ่งวัย 18 ปีที่คาดว่าจะกลายเป็นเบอร์หนึ่งของโลกอย่าง "คีลิยัน เอ็มบัปเป้" ก็เก่งเกินเด็กโชว์ฟอร์มโหดขยี้กองหลักศัตรูจนได้รับการยอมรับไปทั่วโลก พร้อมรางวัลส่วนตัวอีกมากมาย เวลาผ่านล่วงเลยไปสองปีในรายการชิงชัยแห่งทวีปยุโรปอย่าง " ยูโร 2020 " ฝรั่งเศษที่ยังรักษามาตรฐานเดิมได้ดีถูกจัดให้เป็นทีมเต็งหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย แต่อย่างที่เราทราบกันดีว่าช่วงก่อนหน้านั้นไม่นานโลกของเราได้พบเจอกับภัยมรณะจากโรค " โควิด-19 " ทำให้การแข่งขันต้องเลื่อนไปจัดกันปีหน้าแทน ยูโร 2020 ถูกจัดขึ้นอีกครั้งในปี 2021 ซึ่งเป็นปีที่ไม่มีเจ้าภาพเป็นหลักแหล่งชัดเจน มีการจัดการแข่งขันกระจายไปทั่วประเทศที่ได้รับการคัดเลือก ฝรั่งเศสก็ยังถูกยกให้เป็นทีมเต็งหนึ่งเหมือนเดิมโดยไม่มีผิดเพี้ยน ซึ่งพวกเขาก็หวังจะแก้ตัวจากการพลาดแชมป์ในบ้านเมื่อปี 2016 แต่ความต่างของปีนี้คือมีทีมฟอร์มแรงเพิ่มขึ้นมาจนน่าจับตามองนั่นคือ " อิตาลี " และ " อังกฤษ " บทพิสูจน์แรกของฝรั่งเศสคือการอยู่ " Group of death " ร่วมกับโปรตุเกส (แชมป์เก่า) , เยอรมัน (แชมป์โลก 4 สมัย) และฮังการีทีมแพ้ยาก ซึ่งผลงานในนัดแรกคือการบุกเยือนเยอรมันเหมือนจะทำได้ดี ด้วยเทคนิคการโต้กลับอาศัยความเฉพาะตัวของเอมบัปเป้ประสานงานกับ " คาริม เบนเซมา " ที่กลับมามีชื่อติดทีมชาติอีกครั้งหลังคดีฉาว บทสรุปพวกเขาบุกชนะเยอรมันไป 0-1 แต่ข้อสังเกตุคือเอมบัปเป้ดูจะใช้โอกาสเปลืองไปหน่อย นัดที่สองฝรั่งเศสบุกไปเยือนฮังการีที่เป็นสนามแรกๆ ที่อนุญาติให้แฟนบอลเข้าไปชมเกมกันเต็มความจุ ไม่รู้เกิดอะไรขึ้นกับทัพตราไก่เพราะพวกเขาเกือบจะแพ้เสียอย่างนั้น ผลจบลงด้วยสกอร์ 1-1 หากไม่ได้ประตูตีเสมอของกรีซมันในช่วงครึ่งหลังก็อาจถึงขั้นแพ้เลยก็ได้ แต่อย่างน้อยมองในแง่ดีแข่ง 2 นัดตุนเอาไว้ได้ 4 แต้มก็ถือว่าไม่ได้น่าเกลียดอะไรมาก แต่ที่เป็นปัญหาคือรูปแบบการเล่นที่ไม่ไร้เทียมทานเหมือนก่อน ทั้งทีตัวผู้เล่นก็ยังเป็นชุดเดิมแถมยังเสริมตัวใหม่ทีดีกว่าเดิมเสียอีก ก่อนที่นัดสุดท้ายจะทำศึกล้างตาในสนามกลางกับโปรตุเกสซึ่งผลจบลงสุดมันส์ 2-2 กอดคอกันเข้ารอบไปทั้งคู่ แต่อย่างที่เราทราบกันดีว่าทัพตราไก่กลับตกรอบ 16 ทีมสุดท้ายจากน้ำมือของ " สวิสเซอร์แลนด์ " ที่เป็นลองพวกเขาทุกอย่างในการยิงจุดโทษ หลังผลเสมอ 3-3 ในเวลา 90 นาที เป็นการตกรอบที่ไวเกินคาดหักปากกาเซียนบอลทั่วโลก แถมนักเตะความหวังอย่างเอมบัปเป้ก็ยิงไม่ได้เลยแม้แต่ลูกเดียว แถมโดนวิจารณ์เรื่องการเล่นเป็นทีมอีกด้วย กระแสข่าวลือเรื่องกุนซือทำให้นายใหญ่อย่าง "ดิดิเยร์ เดชองส์" ต้องรู้สึกร้อนหนาวกันบ้างเพราะทีมตั้งความหวังไว้สูงหวังจะครองยุคเหมือนอย่างที่สเปนเคยทำเมื่อสิปปีก่อน พอไม่ประสบความสำเร็จคนที่จะโดนโจมตีก่อนคือตัวกุนซือเอง แต่ล่าสุดฝรั่งเศสก็ได้ปลดล็อคความสำเร็จกับถ้วยยุโรปหลังจากคว้าแชมป์ "ยูฟ่าเนชั่นส์ลีก" โดยการเอาชนะสเปนไป 2-1 ถึงใครจะมองว่าถ้วยนี้เป็นของคั่นรายการธรรมดาๆ แต่ส่วนตัวผมมองว่าอย่างน้อยคู่้แข่งที่พวกเขาเจอตั้งแต่รอบ 4 ทีมก็เป็นทีมระดับหัวกะทิที่ส่งตัวจริงลงกันเต็มที หมายความว่าความเข้มข้นมันไม่ต่างอะไรกับถ้วยเมเจอร์ใหญ่เลย จึงเชื่อว่ามันจะหลายเป็นการเรียกความมั่นใจชั้นดีที่หาไม่ได้อีกแล้วก่อนไปเล่นศึกฟุตบอลโลก 2022 ที่ประเทศการ์ตาช่วงปลายปีหน้า ** Ref Picture ภาพปก : จาก France de Football ภาพประกอบที่ 1 , 2 , 3 , 4 จาก France de Football ส่องนักบอลตัวเต็ง ดูสดระเบิดแมตช์สุดมันส์บน App TrueID โหลดฟรี !