ในโลกยุคปัจจุบัน... ที่การดำรงชีวิตไม่ได้ง่ายเหมือนสมัยอดีตที่อยู่กันแบบพอเพียง สามารถชีวิตหลังเกษียณที่สุขสบายได้อย่างไม่ยากแต่ เราอยู่กันในโลกยุคที่มีตึกสูงเสียดฟ้า ยุคที่ผู้คนต่างพยายามที่จะมีชีวิตหรูหรา สุขสบายเพื่ออวดผู้คนในโลกออนไลน์ ที่แม้บางครั้งเราอาจไม่ได้รู้จักหรือสนิทสนมเป็นการส่วนตัวด้วยซ้ำ เพียงแค่เพราะอยากให้เป็นที่ยอมรับของสังคมเท่านั้น การใช้ชีวิตแบบสุขสบาย ใช้จ่ายเกินตัว ซื้อของเกินความจำเป็น บางคนสร้างหนี้สินจากความอยากได้อยากมี จนทำให้ชีวิตที่เป็นอยู่ลำบากเพราะไม่มีสภาพคล่องทางการเงิน อีกทั้ง คนเรามีเวลาในการทำงานจนถึงอายุ 55 ปีเท่านั้น หลังจากนั้นก็ต้องปลดเกษียณไม่สามารถหาเงินได้อีกต่อไป จากเหตุผลดังกล่าว ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าความรู้ทางการเงิน เป็นสิ่งสำคัญที่ทุกคนต้องเรียนรู้ เพื่อวางเเผนทำให้ชีวิตหลังเกษียณมีเงินเพื่อใช้จ่ายในสิ่งที่จำเป็น มีเงินค่ารักษาพยาบาลในโรงพยาบาลที่ดี หรือแม้แต่เป็นประโยชน์ให้กับชีวิตปัจจุบันของเราที่จะสามารถมีเงินเพื่อใช้ทำตามความฝันที่เราต้องการในแต่ละช่วงชีวิตได้อีกด้วย สำหรับความรู้ทางการเงินที่อยากให้ทุกคนได้รู้คือ 1. เงินออมฉุกเฉิน 6-12 เดือนของค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือน เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องมี ยกตัวอย่างง่ายๆ ในยุคโควิดนี้ หลายบริษัทต่างพากันปิดตัวลง ส่งผลให้บางคนถูกเลิกจ้างกระทันหัน หากเรามีเงินออมฉุกเฉินสำรองไว้ ก็จะทำให้เราสบายใจ สามารถใช้เงินนี้ตั้งหลักและใช้จ่ายในชีวิตประจำวันได้แบบไม่เครียดมาก 2. ทุกเดือนควรออมเงินขั้นต่ำ 10% ของรายได้ เพื่อฝึกวินัยในตัวเองให้รู้ว่าต้องออมเงินข้อนี้แนะนำให้ทุกคนเปิดบัญชีแบบตัดอัตโนมัติและไม่ต้องทำบัตร ATM เพื่อป้องกันไม่ให้นำเงินส่วนนี้ออกมาใช้ เมื่อเราออมเงินไปเรื่อย จะสร้างนิสัยการออมเงินให้เรา ทำให้เรารู้สึกภูมิในในตัวเองได้ ว่าเราก็สามารถเก็บเงินได้เหมือนกัน 3. เก็บก่อนใช้ คือข้อที่สำคัญมาก การเก็บเงินก่อนใช้จะเป็นตัวช่วยให้เราวางแผนการเงินได้ดีขึ้น เราสามารถใช้สมการนี้เพื่อวางแผนทางการเงินได้ ค่าใช้จ่าย = รายได้ - เงินออม หากใช้สมการนี้คำนวณ เราจะเห็นว่าเรามีเงินเหลือใช้ในแต่ละเดือนเท่าไหร่ และเราก็จะสามารถกำหนดค่าใช้จ่ายในแต่ละวันได้ 4. กำหนดค่าใช้จ่ายในแต่ละวัน ให้เรากำหนดค่าใช้จ่ายแต่ละวันไว้แล้วคอยเตือนตัวเองขณะใช้จ่ายว่า วันนี้ใช้เงินได้เท่านี้แล้วนะ ไม่ควรใช้เกินเงินที่กำหนดไว้ แล้วหากเงินเหลือ ก็สามารถนำส่วนนี้ไปหยอดกระปุก เก็บไว้เป็นเงินออมได้อีกส่วน 5. ทำงบรายรับ-รายจ่ายเป็นรายปี หากเราเป็นพนักงานประจำ ในข้อนี้จะเป็นข้อได้เปรียบมาก เนื่องจากเรามีรายรับที่แน่นอน และเราสามารถใช้งบการเงินนี้เช็ครายรับ-รายจ่ายในแต่ละปีเพื่อที่จะดูว่าท้ายที่สุดแล้วเราต้องเสียภาษีเท่าไหร่ จากนั้นให้หาทางลดหย่อนภาษีด้วยการติดตามนโยบายของทางกรมสรรพากรว่าสามารถใช้สิทธิ์อะไรในการลดหย่อนภาษีได้บ้าง 6. วางแผนภาษี เพื่อเพิ่มเงินออมจากข้อที่แล้ว เราพบว่า เราจะต้องเสียภาษีเงินได้ให้กับรัฐเท่าไหร่ จะเป็นการดีกว่าไหม หากเราสามารถประหยัดเงินในส่วนนี้ได้ และนำเงินนี้ไปเก็บออมแทน ดังนั้น การวางเเผนภาษีเป็นเรื่องที่สำคัญอีกเช่นกัน ที่อยากให้ทุกคนที่มีรายได้ถึงขั้นที่ต้องเสียภาษีศึกษาเรื่องนี้ไว้เพื่อประโยชน์แก่ตนเอง7. นำเงินที่มีไปลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนให้งอกเงยจากความรู้ทางการเงินทั้งหมดที่มี ทำให้เรามีเงินใช้จ่ายเพื่อให้ไม่ใช้จ่ายเงินเกินความจำเป็น แต่ความรู้ทางด้านการลงทุน จะทำให้เงินที่คุณมีเติบโต สร้างความมั่งคั่งได้ มีเงินใช้ในยามเกษียณโดยไม่ต้องรบกวนลูกหลาน ดังนั้น การศึกษาเรื่องการลงทุน เป็นข้อได้เปรียบกว่าคนที่รู้จักเก็บเงินอย่างเดียว แล้วไม่นำเงินที่มีไปทำให้ออกดอกผล ดังนั้น หากเรามีความรู้ส่วนนี้ก็ไม่ยากเลยที่จะทำให้ชีวิตในวัยเกษียณสุขสบายแบบที่หวังไว้ 8. ซื้อประกันชีวิตปิดความเสี่ยง สำหรับผู้ที่พอมีเงินบ้าง ไม่ได้เดือดร้อน แนะนำให้เลือกทำประกันเพื่อปกป้องความเสี่ยงในยามที่เกิดเหตุฉุกเฉิน เราสามารถใช้ประกันจ่ายค่ารักษาพยาบาลในโรงพยาบาลเอกชนดีๆ หรือแม้ในยามเสียชีวิต ก็ไมเ่ป็นภาระให้กับคนข้างหลัง เพราะฉะนั้น หากคุณสามารถปิดความเสี่ยงตรงนี้ได้ อยากให้คุณเลือกประกันที่สนใจและปิดความเสี่ยงนี้ซะ อีกทั้ง เงินประกันบางชนิด สามารถลดหย่อนภาษีได้อีกด้วย ได้ผลประโยชน์หลายอย่างเลยทีเดียว เอาหล่ะค่ะ จบกันไปเเล้ว สำหรับบทความ “ความรู้ทางการเงินที่โรงเรียนไม่มีสอน” ส่วนตัวแล้วศึกษาข้อมูลเหล่านี้มาจากโค้ชหนุ่ม จักรพงษ์หรือ Money coach โค้ชการเงินที่ดังที่สุดในตอนนี้เลยก็ว่าได้ต้องขอบพระคุณโค้ชมากๆ ที่สอนข้อคิดดีๆ ทางการเงินให้กับคนทั่วไป ทำให้สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำวันได้หากใครสนใจอยากติดตามความรู้ดีๆ ทางการเงิน แนะนำให้ไปติดตาม YouTube Chanel ของโค้ชได้ที่ THE MONEY COACH นะค๊าา ขอบคุณภาพประกอบดีๆ จากเว็บไซส์ Pixabay.com นะคะ : รูปภาพที่ 1, รูปภาพที่ 2, รูปภาพที่ 3, รูปภาพที่ 4