ท่ามกลางภาวะเงียบเหงาซึมเซาของวงการบันเทิงฮอลลีวู้ด (ที่จริงก็เกือบทุกวงการแหละนะ) เพราะผลกระทบจากโควิด-19 แต่ล่าสุดเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2020 ที่ผ่านมาสด ๆ ร้อน ๆ กลับมีข่าวความเคลื่อนไหวหนึ่งที่ฮือฮาและถูกนำเสนอในสื่อหลายสำนักทั่วโลก ก็คือกรณีที่ผู้กำกับดัง แซ็ค สไนเดอร์ (Zack Snyder) มีแผนทำภาพยนตร์เรื่อง Justice League หนังรวมทีมซูเปอร์ฮีโร่ของค่าย DC Comics ที่ออกฉายไปแล้วในปี 2017 ในรูปแบบตัดต่อใหม่โดยผู้กำกับ หรือตามศัพท์ในวงการหนังที่มักคุ้นเคยกันว่า ‘Director’s Cut’ (แต่ในกรณีนี้สื่อฮอลลีวู้ดหลายสำนักมักเรียกตามชื่อผู้กำกับว่า ‘Snyder Cut’) ในข่าวยังระบุว่า Justice League: Snyder Cut จะเพิ่มความยาวของหนังจากเดิมในฉบับฉายโรงภาพยนตร์ที่ 2 ชั่วโมง หรือ 120 นาที เป็นราว 4 ชั่วโมง หรือ 240 นาที โดยเตรียมเปิดตัวทาง HBO Max (ค่ายวิดีโอสตรีมมิ่งค่ายใหม่ในสังกัด HBO บริษัทลูกของ WarnerMedia Entertainment บริษัทในเครือ WarnerMedia เช่นเดียวกันกับ Warner Bros. สตูดิโอผู้สร้างหนัง Justice League นั่นเอง) ในปี 2021 โดยอาจแบ่งเป็นตอน 6 ย่อยที่เหมาะสำหรับการเผยแพร่ทางทีวี (six TV-style "chapters") ด้วย โดยงานนี้ Warner Bros. ยอมทุ่มงบเพิ่มถึงราว 20 – 30 ล้านดอลลาร์ สำหรับการตัดต่อหนังใหม่ การทำดนตรีประกอบ และสเปเชี่ยลเอฟเฟ็กต์ต่าง ๆ ในส่วนฟุตเตจภาพที่เพิ่มเติมเข้ามาให้ครบถ้วนสมบูรณ์ กระนั้น ประเด็นน่าสนใจจากข่าวข้างต้นที่ผู้เขียนอยากนำเสนอในบทความนี้ก็คือเรื่องของ หนังฉบับ Director’s Cut ที่อธิบายคร่าว ๆ ความหมายของมันก็คือ ‘หนังอีกเวอร์ชั่นหนึ่ง’ ที่ตัดต่อตามใจผู้กำกับ เพราะแท้ที่จริงแล้ว ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็น ‘ผู้กำกับ’ ส่วนใหญ่แล้ว มิได้มีสิทธิ์ตัดต่อหนังในขั้นตอนสุดท้าย (หรือที่เรียกว่า Final cut privilege) ก่อนนำออกฉายในโรงภาพยนตร์หรอกนะ (ยกเว้นว่าคุณจะเป็นผู้กำกับดังระดับบิ๊กบึ้ม เท่านั้น) เพราะสิทธิ์ตัดต่อหนังขึ้นสุดท้ายมักจะเป็นของบริษัทผู้สร้าง (แน่อยู่แล้ว เพราะเขาเป็นเจ้าของเงินนี่เนอะ) และ / หรือบริษัทผู้จัดจำหน่าย (ผู้นำออกฉายในแต่ละพื้นที่) ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเน้นตัดต่อหนังให้มีความยาวเหมาะสมกับการฉายในโรงภาพยนตร์ (พูด ๆ ง่ายคือ ไม่ยาวมากจนเกินไป ที่จะส่งผลให้จำนวนรอบการฉายต่อวันลดน้อยลง) หรือเน้นตัดต่อตอนจบให้เข้าใจง่าย เคลียร์คัทชัดเจน คนดูไม่งง ประมาณนั้น ซึ่งบางครั้งอาจไม่ตรงตามความตั้งใจของผู้กำกับ ดังนั้น หนังฉบับตัดต่อโดยผู้กำกับหรือ Director’s Cut จึงเกิดขึ้น ซึ่งหากใครเป็นคอหนังยุคก่อนที่นิยมการสะสมแผ่น DVD หรือ Blu-ray คงจะเคยได้ยิน (หรือเคยซื้อหา) หนังฉบับ Director’s Cut หรือในชื่ออื่น ๆ เช่น Extended Cut หรือ Extended Edition (อธิบายง่าย ๆ ได้ประมาณว่า ฉบับเพิ่มความยาวมากกว่าเวอร์ชั่นฉายโรง) กันมาบ้าง และในบทความนี้ผู้เขียนก็ขอแนะนำหนังฉบับ Director’s Cut และ Extended Edition ที่ผู้เขียนได้ดูมาด้วยตัวเอง และชื่นชอบมากเป็นพิเศษดังต่อไปนี้ค่ะ 1. The Lord of the Rings Films Trilogy: Special Extended Edition ผู้เขียนเชื่อว่าคงไม่มีคอหนังคนไหนที่ไม่รู้จักหนังมหากาพย์แฟนตาซีไตรภาคสุดอลังการเรื่องนี้ของผู้กำกับ ปีเตอร์ แจ็คสัน (Peter Jackson) ที่กำลังจะมีอายุครบ 20 ปี ในปีหน้าแล้ว และอาจได้ฉลองครบรอบสองทศวรรษด้วยซีรี่ส์ฟอร์มบิ๊กของค่ายสตรีมมิ่ง Prime Video ในปี 2021 (หากไม่ถูกเลื่อนด้วยเหตุจากการถ่ายทำล่าช้าเพราะโควิด-19 นะ) ซึ่งแบ่งออกเป็นสามภาคตามนิยายเรื่องยิ่งใหญ่ของ เจ.อาร์.อาร์. โทลคีน คือ The Lord of the Rings: The Fellowship of the Ring (อภินิหารแหวนครองพิภพ), The Lord of the Rings: The Two Towers (ศึกหอคอยคู่กู้พิภพ) และ The Lord of the Rings: The Return of the King (มหาสงครามชิงพิภพ) แฟนหนังย่อมทราบดีว่าที่จริงหนังฉบับฉายในโรงภาพยนตร์ก็มีความยาวค่อนข้างมากอยู่แล้ว แต่ในฉบับ Special Extended Edition ก็เพิ่มความยาวให้มากยิ่งขึ้นไปกว่าเดิมอีก ราว ๆ ภาคละ 30 – 50 นาที คือภาคแรก ฉบับฉายโรงยาว 178 นาที (หรือ 2 ชั่วโมง 58 นาที) ส่วนฉบับ Extended Edition ยาวขึ้นเป็น 208 นาที (หรือ 3 ชั่วโมง 28 นาที), ภาคสอง ฉบับฉายโรงยาว 179 นาที (หรือ 2 ชั่วโมง 59 นาที) ส่วนฉบับ Extended Edition ยาวขึ้นเป็น 226 นาที (หรือ 3 ชั่วโมง 46 นาที) และภาคสาม ฉบับฉายโรงยาว 201 นาที (หรือ 3 ชั่วโมง 21 นาที) ส่วนฉบับ Extended Edition ยาวขึ้นเป็น 252 นาที (หรือ 4 ชั่วโมง 12 นาที) แน่นอนว่า ‘ปริมาณมิได้หมายถึงคุณภาพเสมอไป’ แต่ในความเห็นของผู้เขียนที่เคยได้ดูหนังไตรภาคชุดนี้มาแล้วทั้งสองเวอร์ชั่น ขอบอกเลยว่า บางครั้งปริมาณก็มาพร้อมความ ‘เต็มอิ่ม’ ทางอารมณ์ที่มากยิ่งขึ้นกว่าเดิม หลาย ๆ ฉากที่ดีอยู่แล้วในหนังฉบับฉายโรง ถูกขยายรายละเอียด เพิ่มเติมช่วงเวลา ทำให้เรารับรู้เรื่องราวของตัวละครที่เราชื่นชอบแบบลงรายละเอียดมากขึ้น ตัวอย่างเช่น ฉากปาร์ตี้วันเกิดของ บิลโบ แบ็กกินส์ (เอียน โฮล์ม) ในช่วงต้นเรื่องของภาคแรก ที่ฉบับ Extended Edition เพิ่มระยะเวลาให้ยาวนานขึ้น เราจึงได้เห็นความสนุกสนานครื้นเครงในฉากนี้แบบเต็มที่กว่าเดิม ก่อนที่ โฟรโด (เอไลจาห์ วู้ด) จะต้องลาจากบ้านเกิดและออกผจญภัยไปทำภารกิจสำคัญกับคณะพันธมิตรแห่งแหวน หรือในหนังภาคที่สาม หนึ่งในฉากที่ถูกเพิ่มเติมเข้ามาในฉบับ Extended Edition ซึ่งผู้เขียนชอบมากเป็นพิเศษโดยส่วนตัว ก็คือฉากที่ให้รายละเอียดความสัมพันธ์ระหว่าง เอโอวีน (มิแรนดา ออตโต้) เจ้าหญิงแห่งอาณาจักรโรฮัน กับ ฟาราเมียร์ (เดวิด เวนแฮม) ทายาทเสนาบดีแห่งอาณาจักรกอนดอร์ ว่าสองตัวละครนี้รู้จักและพบรักกันได้อย่างไร ซึ่งเป็นหนึ่งในฉากที่สวย ซึ้ง และที่สำคัญมีกล่าวถึงไว้ในนิยายของโทลคีนด้วย แต่หนังฉบับฉายโรงกลับไม่มีฉากนี้ให้ดูซะงั้น น่าเสียดายจริง ๆ ดังนั้น บอกเลยว่าหนังฉบับ Special Extended Edition นั้นคุ้มเกินคุ้ม ทุกรายละเอียดที่เพิ่มเติมเข้ามาไม่มีส่วนไหนที่รู้สึกว่าเป็น ‘ส่วนเกิน’ เลยแม้แต่น้อย และหากนี่เป็นหนังเรื่องโปรดของคุณ หนังฉบับ Special Extended Edition ก็จะทำให้คุณยิ่งรู้สึก ‘ฟิน’ กับหนังเรื่องโปรดนี้มากยิ่งขึ้นอีกหลายเท่า (ส่วนตัวผู้เขียนนั้นบอกเลยว่า ตัวเองแทบจะลืมหนังฉบับฉายโรงไปเลย) และที่จัดเต็มไม่แพ้กันคือหากคุณได้ซื้อหนังฉบับ Special Extended Edition ฉบับ DVD หรือ Blu-ray ชุดบ็อกซ์เซ็ต ที่มีแผ่น Special Features หรือเนื้อหาพิเศษเบื้องหลังการถ่ายทำด้วยแล้ว บอกเลยว่า Special Features ของฉบับ Extended ก็ขยายรายละเอียดเต็มอิ่มมากขึ้นด้วยเช่นกัน เรียกว่าคุณจะได้ชมกระบวนการเบื้องหลังการสร้างหนังแทบทุกขั้นตอนแบบละเอียดยิบเลยล่ะ 2. Kingdom of Heaven ในภาพรวม มีบางครั้งที่คำว่า Director’s Cut ถูกใช้เป็นแค่เทคนิคใหม่ในการขายหนังแผ่นอีกเวอร์ชั่นหนึ่ง เพราะการตัดต่อใหม่ไม่ได้ช่วยทำให้หนังมีความน่าสนใจมากขึ้นแต่อย่างใด แต่ตรงกันข้ามก็มีหนังบางเรื่องที่ฉบับ Director’s Cut คือสิ่งจำเป็นที่ขาดไม่ได้ และสมควรต้องทำอย่างยิ่ง และหนึ่งในนั้นก็คือ Kingdom of Heaven หนังมหากาพย์ประวัติศาสตร์ที่เล่าถึงสงครามครูเสดในยุคคริสต์ศตวรรษที่ 12 ของผู้กำกับดัง ริดลี่ย์ สกอตต์ (Gladiator, Black Hawk Down) ที่ออกฉายในโรงภาพยนตร์ในวันที่ 6 พฤษภาคม 2005 ด้วยความยาวที่ตอนแรกก็นับว่ายาวมากอยู่แล้วคือ 144 นาที (หรือ 2 ชั่วโมง 24 นาที) แต่คนหนึ่งที่ไม่พอใจมากกับหนังฉบับฉายโรงก็คือ ริดลี่ย์ สกอตต์ เพราะผู้กำกับดังมองว่า หนังโดน 20th Century Fox บริษัทผู้จัดจำหน่ายตัดออกให้สั้นลงกว่าเวอร์ชั่นที่สกอตต์ตั้งใจไว้ถึง 45 นาที ที่สำคัญคือ สกอตต์ไม่ได้แค่บ่นเฉย ๆ แต่เขาหาทางแก้ไขด้วยการตัดหนังฉบับ Extended director's cut ความยาว 194 นาที (หรือ 3 ชั่วโมง 14 นาที) ตามออกมาติด ๆ โดยออกเผยแพร่ในวันที่ 23 ธันวาคม 2005 ซึ่งประเด็นสำคัญที่ทำให้หนัง Kingdom of Heaven ฉบับ Extended director's cut เป็นที่ฮือฮาและมักถูกจัดให้ติดอันดับหนังฉบับ Director’s Cut ที่ยอดเยี่ยมที่สุดเรื่องหนึ่งอยู่เสมอก็คือ ขณะที่หนังฉบับฉายโรงได้เสียงตอบรับแบบก้ำกึ่งแค่อยู่ในระดับ ‘ก็งั้น ๆ’ แต่พอมาในฉบับ Extended director's cut หนังกลับได้คำชื่นชมจากนักวิจารณ์ไปแบบท่วมท้น ในฐานะที่ผู้เขียนเคยได้ดูหนังมาแล้วทั้งสองเวอร์ชั่น บอกเลยว่าหนังฉบับฉายโรงดูห้วน ๆ พิลึก เส้นเรื่องของตัวละครสำคัญ เช่น เบเลียน แห่ง อิบิลิน (ออร์แลนโด บลูม) และ เจ้าหญิงซิบิลล่า แห่งเยรูซาเล็ม (เอวา กรีน) ในฉบับฉายโรงดูขาด ๆ หาย ๆ ไม่สมบูรณ์ ทำให้ภาพรวมของหนังดูกะพร่องกะแพร่ง ไม่เต็มอิ่ม ลงเอยเป็นเวลา 2 ชั่วโมงกว่าที่ไม่ได้น่าจดจำอะไร แต่พอได้มีโอกาสชมหนังฉบับ Extended director's cut บอกเลยว่ามันให้ความรู้สึกยังกับ ‘หนังคนละเรื่อง’ ที่ดีกว่ากันเยอะ โดยเฉพาะเรื่องราวชีวิตของเบเลียนและเจ้าหญิงซิบิลล่า ที่ถือเป็นดั่งพระเอก-นางเอก ของเรื่องนั้นเรียกได้ว่ามีแง่มุมและจุดพลิกผันที่น่าสนใจมากขึ้นกว่าเดิมเยอะมาก ส่งผลให้เป็นหนังฉบับที่ ‘สมบรูณ์แบบกว่า’ อย่างเห็นได้ชัด และในมุมมองของผู้เขียน Kingdom of Heaven ฉบับ Extended director's cut เป็นผลงานยอดเยี่ยมของผู้กำกับ ริดลี่ย์ สกอตต์ ที่เทียบชั้นหนังออสการ์แบบ Gladiator ได้สบาย สรุป จากตัวอย่างของหนังฉบับ Director’s Cut และ Extended Edition ที่ทำออกมาแล้วดูดีกว่าเดิมแบบสองเรื่องข้างต้น คอหนังซูเปอร์ฮีโร่ค่าย DC Comics จึงน่าจะมีหวังว่าหนัง Justice League ฉบับตัดต่อใหม่ที่ยาวขึ้นกว่าเดิม น่าจะให้ผลลัพธ์เป็นหนังดี ๆ อีกเรื่องที่ทำให้แฟนหนังซูเปอร์ฮีโร่เรื่องนี้ได้ ‘ฟิน’ กันอย่างเต็มที่ รอติดตามกันปี 2021 นะคะ ขอขอบคุณภาพปกและภาพประกอบทั้งหมดจากเว็บ Official ของ WarnerBros., 20th Century Fox และภาพปก Blu-ray จาก Blu-ray.comเครดิตภาพปก / ภาพประกอบที่ 1 / ภาพประกอบที่ 2 / ภาพประกอบที่ 3 / ภาพประกอบที่ 4 / ภาพประกอบที่ 5 / ภาพประกอบที่ 6 / ภาพประกอบที่ 7 / ภาพประกอบที่ 8 / ภาพประกอบที่ 9 / ภาพประกอบที่ 10 / ภาพประกอบที่ 11