จำได้ว่าก่อนหน้าที่จะมีการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ประเทศไทยช่วงปี 62 เจอะเจอผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่กำลังอยู่ในสภาวะถดถอย กำลังซื้อต่ำ การท่องเที่ยวหดตัว แต่การจ้างงานยังคงมีอยู่ ซึ่งรัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ มากมาย จนกระทั่งมาต้นปี 63 โลกทั้งใบโดนคลื่นไวรัสซัดเข้าใส่อย่างเต็ม ๆ จนเกิดการนิยามกันว่าโลกหลังยุคโควิดจะเปลี่ยนไปอย่างไร แต่ก่อนที่จะถึงจุด ๆ นั้น มาหาเหตุแห่ง "ความแตกต่างของยุค "Pre-COVID" และ "Post-COVID" แบบสบาย ๆ ไม่เครียดเนอะ ยุค “ Pre-COVID “ ยังคงดำเนินธุรกิจต่าง ๆ อย่างเป็นปกติ แม้จะมีผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่ส่ออาการถดถอย ให้เห็นบ้างเป็นระยะ ๆ ส่วนบ้านเราการท่องเที่ยวของชาวต่างชาติเริ่มลดลงไม่มาเที่ยวกัน กำลังซื้อภายในประเทศต่ำ จนเกิดมาตรการชิมช้อปใช้ ขึ้นมาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ ซึ่งหลาย ๆ คนต่างบอกว่าไม่น่าจะได้ผล ส่วนการใช้ชีวิต การใช้จ่าย ยังเป็นปกติ แม้สภาพสิ่งแวดล้อมจะค่อย ๆ เริ่มเปลี่ยน เกิดฝุ่นควันพิษปกคลุมไปทั่วทั้งกรุงเทพ ปริมณฆลและต่างจังหวัด สังเกตได้ว่าผู้คนยังไม่ตระหนักหันมาป้องกันตัวเองเรื่องใส่หน้ากากป้องกันฝุ่นควัน PM 2.5 หรือนี่คือสัญญาณเตือนที่โลกกำลังสะกิดบอกเราว่าจะเจอคลื่นใหญ่ในทางข้างหน้า จนกระทั่งต้นปี 63 ได้เกิดวิกฤตไวรัสโควิด19 ระบาด ไม่มีใครคาดคิดว่าการระบาดจะลุกลามไปทั่วทั้งโลก ผู้คนมากมายติดเชื้อ เสียชีวิต และยังคงมีตัวเลขเพิ่มขึ้นในแต่ละวัน ยังคงไม่สิ้นสุด แม้ในตอนนี้ก็ยังไม่สามารถคิดค้นวัคซีนมาป้องกันได้ สิ่งหนึ่งที่ทำให้เราได้เรียนรู้และตระหนักกับวิกฤตในครั้งนี้ ต้องสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อย ๆ พกเจลล้างมือ กินอาหารปรุงสุก ใช้ช้อนตัวเอง ไม่ควรออกไปท่องเที่ยวในช่วงเวลานี้ให้อยู่บ้าน work from home ทำงานที่บ้าน และ social distancing ควรเว้นระยะห่างระหว่างกัน เพราะเราจะยังคงต้องอยู่ร่วมกับโควิดไปอีกนานเป็นเดือน เป็นปี และที่สำคัญต้องอยู่กับเขาให้ได้ด้วยล่ะ ส่วนในด้านเศรษฐกิจทางรัฐบาลประกาศเคอร์ฟิว ออกพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ห้างสรรพสินค้า ร้านค้าต่าง ๆ ถูกสั่งให้ปิดชั่วคราว รวมไปถึงการจัดงานทำกิจกรรมทุกชนิดก็โดนสั่งงดด้วยเช่นกัน ทำให้สภาพโดยรวมของประเทศหยุดชะงัก เกิดความวุ่นวายต่าง ๆ มากมาย คนไทยในต่างประเทศแห่กันกลับมาบ้าน สนามบินเกิดความโกลาหล มีกลุ่มคนไทยบางคนไม่ยอมปฎบัติตามกฎของรัฐที่ต้องโดนกักตัว 14 วัน ผู้คนตื่นตระหนกกับการประกาศเคอร์ฟิว ออกไปกักตุนสินค้าตามห้างสรรพสินค้าจนสินค้าหมด ไข่ไก่ที่มีการผลิตเพียงพอในประเทศกลับราคาพุ่งสูง หน้ากากอนามัยถูกกักตุนทำให้สินค้าขาดแคลนและราคาสูงกว่าความเป็นจริง งดการเดินทางข้ามจังหวัดรวมไปถึงการเดินทางออกนอกประเทศด้วย ซึ่งสร้างปรากฎการณ์ใหม่เมื่อสนามบินร้าง เครื่องบินจอดนิ่งบนรันเวย์ เมืองไร้ผู้คนไปโดยปริยาย ยุค "Post-COVID" หลากหลายธุรกิจอาจจะต้องล้มหายตายจากไป ด้วยมาตรการต่าง ๆ ของรัฐที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เพื่อป้องกัน ลดภาวะเสี่ยงการแพร่ระบาดของเชื้อโรค แต่ก็จะเกิดธุรกิจใหม่มากมายขึ้นเช่นกัน ในด้านการใช้ชีวิต ผู้คนจะให้ความสำคัญในเรื่องของความสะอาด ปลอดภัย และตื่นตัวระวังการสัมผัสในระยะใกล้ชิดกันมากขึ้น ส่วนการใช้จ่าย จะต้องมีการเตรียมอุปกรณ์เพื่อป้องกันตัวเอง ทั้งหน้ากากอนามัย เจลล้างมือ ที่ใช้แล้วหมดไปและต้องใช้ติดตัวทุกวัน ทำให้ต้องเพิ่มค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันจากเดิม แต่ที่น่าเป็นห่วงสำหรับแรงงานในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้ประเทศก้าวต่อไปได้นั่น ได้มีการคาดการณ์ไว้ว่าจะมีคนว่างงานเกือบ ๆ ล้านคนเลยเชียวค่ะ ผลกระทบจากวิกฤตโควิด-19 ในครั้งนี้ที่เราได้รับเต็ม ๆ คือเรื่องรายได้ที่หดหาย ลดลงไปกว่าครึ่ง จึงต้องมองหาช่องทางใหม่ ๆ ที่พอจะทำได้อย่างงานเขียนบทความใน TrueID แห่งนี้ ที่พอจะมาช่วยเสริมทัพให้สามารถ จับจ่ายใช้สอยข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันที่จำเป็นไปได้บ้าง ทั้งค่าไฟ ค่าน้ำ ค่ากิน ค่าเดินทาง แต่ยังโชคดีที่ไม่ได้มีหนี้สิน ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ จ่ายค่าเช่าร้าน ค่าเทอมลูก อื่น ๆ อีกมากมาย ที่หลาย ๆ คน กำลังประสบ สถานการณ์นี้อยู่ เป็นความตั้งใจหลังจากนี้ที่จะรับมือกับวิกฤต ด้วยการปลูกพืชผักสวนครัว บริเวณสวนในบ้าน เท่าที่จะทำได้ เพื่อวันหนึ่งเกิดเหตุซ้ำอีกครั้ง ก็ไม่ต้องกลัวอด ไม่ต้องกักตุนสินค้า ไม่แห่ออกไปซื้อสินค้าเหมือนแจกฟรี ได้นำเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงท่านมาปรับใช้ในการดำรงชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างยั่งยืน ยาวนาน ตลอดไป อ้างอิงจาก thaipost.net เครดิตภาพ pixabay.com เครดิตภาพจากผู้เขียน - มุ๊ยติ๋น