โดยธรรมชาติแล้วมนุษย์ทุกคนล้วนต้องการการยอมรับ การเป็นที่รัก ต้องการบรรลุวัตถุประสงค์ และความสำเร็จในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน ธุรกิจ และชีวิตครอบครัว บางครั้งการพูดโกหกนั้นอาจทำให้เรื่องบางเรื่องง่ายขึ้นเพื่อบรรลุเป้าหมายบางอย่าง แต่ทุกคนคงไม่ปฏิเสธว่า ทุกวันนี้การแยกแยะความจริงบางเรื่องในสังคมนั้นทำให้เราสับสน จนเกิดภาวะทางจิตในด้านลบต่อการใช้ชีวิต ซึ่งการโกหกนั้นเริ่มต้นตั้งแต่เรื่องที่ไม่ได้ส่งผลกระทบหรือผลเสียมากนัก ซึ่งบางคนเรียกว่า โกหกสีขาว แต่ในขณะเดียวกันคนบางคนไม่ได้สนใจว่าสิ่งที่พูดนั้นจะผิดศีลธรรม หรือสร้างปัญหาให้ใครมากน้อยแค่ไหน ขอเพียงบรรลุจุดประสงค์เท่านั้น เราจะใช้ชีวิตในสังคมให้เกิดคุณค่า และรู้เท่าทันคนที่กำลังโกหกเราได้อย่างไร บทความนี้จะมาเล่าให้ฟังโกหกสีขาวคืออะไร หลายคนมีความเข้าใจในเรื่องนี้ค่อนข้างแตกต่างกัน เราลองมาดูจุดประสงค์ของการโกหกตามเกณฑ์ที่เป็นตัวแบ่งว่า การโกหก กับ การโกหกสีขาวต่างกันอย่างไร จุดประสงค์ของการโกหกสีขาวโกหกเพื่อปกป้องผู้อื่น โกหกเพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งโกหกเพื่อเกิดประโยชน์ทางอ้อมกับผู้อื่นโกหกเพราะยังไม่มั่นใจผลเสียที่จะเกิดขึ้นกับตนเองและผู้อื่นโกหกเพราะอยากให้กำลังใจกับผู้อื่นจุดประสงค์ของการโกหกโดยทั่วไปโกหกเพื่อเกิดประโยชน์แก่ตนเองโกหกเพื่อสร้างความขัดแย้งให้เกิดขึ้นในสังคมโกหกเพื่อสร้างความเข้าใจผิดต่อผู้อื่นโกหกเพื่อเปิดโอกาสให้ตนเองกระทำความผิดโกหกเพื่อทำลายโอกาสของผู้อื่น ซึ่งแท้จริงแล้วการโกหกทั้งหมด ล้วนต้องการบรรลุจุดประสงค์เป็นที่ตั้งในการโกหกแต่ละเรื่อง การที่คนเราใช้ชีวิตในแต่ละวัน เราเองก็จำเป็นต้องแยกแยะความจริง จากสิ่งที่ได้ยินจากผู้อื่นไม่ว่าสิ่งนั้น จะถูกหรือ ผิด จะมีข้อเท็จจริงที่เป็นไปได้อย่างไร จะทำร้ายใคร หรือจะเอื้อประโยชน์ให้ใคร เราในฐานะผู้ฟังต้องใช้ วิจารณญาณ ในการฟังเรื่องราวต่าง ๆพฤติกรรมของคนที่กำลังโกหกลูบตามเนื้อตัวไปมา หรือแตะต้องบางส่วนของร่างกาย หรืออาจหัวเราะโดยไม่มีสาเหตุกอดอก เพื่อปกป้องตัวเองเป็นกลไกตามธรรมชาติ หรืออาจเลื่อนของบนโต๊ะที่นั่งคุยกันมาคั่นกลาง การสบตา ซึ่งอาจจะมีการหลบตา หรือจ้องตาจนรูม่านตาขยายมากกว่าปกติ เหงื่อแตก และหน้าแดงมากกว่าปกติ แสดงอาการครั่นเนื้อครั่นตัวโทนเสียงพูด จะต่ำ หรือสูงกว่าการใช้น้ำเสียงปกติ อาจพูดเร็วหรือช้ากว่าปกติร่วมด้วยกระพริบตาถี่ มากกว่าปกติ เพื่อลดความตึงเครียด หรืออาจมีการขยี้ตาร่วมด้วยจับใบหน้า เมื่อรู้สึกไม่สบายใจ หรือ จับริมฝีปาก เพราะไม่อยากพูดความจริงนิ่งผิดปกติ ไม่ผ่อนคลายขณะมีการพูดคุย เพราะต้องการต่อต้านร่างกายไม่ให้แสดงออกพูดมากเกินไป หรือพูดน้อย พูดไม่ออก หรือมีการเม้มปาก หรือกัดริมฝีปาก หายใจถี่ และ แรงมากผิดปกติ หัวใจเต้นเร็ว เลือดมีการไหลเวียนมากกว่าปกติ เพราะวิตกกังวลกระดิกเท้า ไปมาเพราะความตึงเครียด วิตกกังวลอารมณ์ขัน โดยไม่จำเป็นเพื่อหลีกเลี่ยงการตอบตรง ๆใช้เสียงดัง หรือแสดงอารมณ์โกรธ เพื่อปิดบังการหลอกลวง ส่วนการโกหกที่จัดว่าเป็น โรคชอบโกหก Pathological Lying หรือบางคนเรียกว่า (โรคหลอกตัวเอง Pseudologia Fantastica หรือ Mythomania) ส่วนใหญ่ผู้ที่เป็นโรคชอบโกหก จะใช้คำโกหกที่ฟุ่มเฟือย และไม่คำนึงถึงสถานการณ์ใด ๆ เพราะเลือกที่จะโกหกอยู่เป็นประจำ ซึ่งเป็นภาวะทางจิตที่ต้องได้รับการเยียวยารักษา ซึ่งคนกลุ่มนี้เป็นผู้ป่วยทางจิต จะมีลักษณะของการโกหกเพื่อสร้างภาพเช่น โกหกว่าทางบ้านฐานะร่ำรวย หรือโกหกเกี่ยวกับการได้รับความสำเร็จในเรื่องต่าง ๆ ทั้ง ๆ ที่ความเป็นจริงตรงกันข้าม และมักจะโกหกซ้ำจนเป็นการหลอกตัวเองและผู้อื่นไปพร้อม ๆ กัน การโกหกอาจมีเนื้อหาเพื่อเรียกร้องความเห็นใจจากการตกเป็นเหยื่อ มีความต้องการการยอมรับเป็นที่ตั้ง และในบางครั้งก็อาจจะไม่ได้มีจุดประสงค์ที่แน่ชัด แต่โกหกเพราะแค่อยากสร้างเรื่องขึ้นมาเฉย ๆ ก็เป็นได้ เป็นการโกหกที่ต่อเนื่อง เมื่อต้องมีการตอบคำถาม จะตอบอย่างละเอียดและรวดเร็ว แต่ตอบไม่ตรงคำถาม และบางครั้งมีพฤติกรรมก้าวร้าว ส่วนใหญ่คนที่เป็นโรคชอบโกหก Pathological Lying หรือ ( โรคหลงตัวเอง Pseudologia Fantastica หรือ Mythomania) มักจะเป็นคนที่มีทักษะการพูดที่ดีเยี่ยม สามารถพูดดึงดูดผู้คน และเป็นนักแสดงโดยธรรมชาติ และเชื่อเรื่องโกหกของตนเองจนเหมือนเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง ๆ และอาจมีพฤติกรรมต่อต้านสังคมลักษณะพฤติกรรมต่อต้านสังคม- โกรธบ่อย- ถือดี อวดดี- ชอบจัดการออกหน้าออกตา- แสดงออกให้ดูเป็นคนฉลาดมีไหวพริบ- โกหกบ่อย ๆ- ลักขโมย- แสดงความก้าวร้าวและต่อสู้- ทำผิดกฏหมาย- ไม่ห่วงใยผู้อื่น- ไม่แสดงความรู้สึกสำนึกผิดใด ๆสาเหตุของโรคชอบโกหก Pathological Lying ถูกทารุณกรรมในช่วงวัยเด็กเติบโตมากับพ่อแม่ที่เป็นโรคต่อต้านสังคมเกิดจากความผิดปกติทางจิต เช่น เป็นโรคซึมเศร้า หรือ โรคย้ำคิดย้ำทำเกิดจากการที่ประเมินหรือมองเห็นคุณค่าในตนเองในทางที่ผิดปกติ เกิดจากระดับฮอร์โมนคอร์ติซอล และเทสโทสเทอโรน ที่ผิดปกติในร่างกายการเผชิญหน้ากับผู้ป่วยที่เป็นโรคชอบโกหก1. อย่าโกรธหรือเสียอารมณ์ ควรหนักแน่นเมื่อต้องสนทนาด้วย ไม่จำเป็นต้องคล้อยตาม หรือโต้แย้งใด ๆ2. อย่ามีส่วนร่วมมากนัก เมื่อต้องคุยด้วยลองตั้งคำถามในสิ่งที่เค้ากำลังโกหก เมื่อไม่สามารถตอบได้ จากนั้นจึงปลีกตัวจากการสนทนา3. ควรเป็นกำลังใจ เมื่อคุณจับได้ว่าเค้าโกหก บอกเค้าว่าไม่จำเป็นต้องสร้างภาพใด ๆ ควรสามารถรับฟังได้และพร้อมให้โอกาสให้พูดความจริง และจงเป็นผู้ฟังที่ดี สุดท้ายนี้ ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนกับการใช้ชีวิต การแยกแยะเรื่องจริง กับเรื่องโกหกนั้น ไม่ง่ายเลยที่จะรู้ได้ ไม่ว่าจะเป็นการโกหกแบบไหน ย่อมมีผลตามมาเสมอแม้ว่าการโกหกนั้นจะมาจากความหวังดี ซึ่งการบิดเบือนความจริงอาจจะไม่ส่งผลในทันที แต่อาจจะส่งผลในระยะยาวก็เป็นได้ ถ้าทุกคนในสังคมหันมาให้ความสำคัญกับความซื่อสัตย์ และยอมรับความจริง ให้โอกาส และให้เกียรติซึ่งกันและกัน ยอมรับและเห็นคุณค่าในตัวเองและผู้อื่น การโกหก อาจไม่จำเป็นต่อการใช้ชีวิตก็เป็นได้ภาพปกจาก : pexels.comรูปภาพประกอบ1 / 2 / 3 / 4 / 5 / 6 / 7