คิดแล้วก็น่าเห็นใจเด็กหงส์นะครับ ที่กว่าทีมจะสู้มาถึงตรงนี้ได้ต้องตรากตรำทำงานหนักขนาดไหน ผ่านการโกงตายมาก็มาก โดนกรรมการไม่เป็นธรรมมาก็บ่อย สู้จนสถาปนาตัวเองเป็นม้าสามตัวสุดท้ายและเบียดกับแมนซิตี้และอาร์เซน่อลได้อย่างสูสี แต่ไฉนฟอร์มระยะหลัง (นับตั้งแต่แพ้แมนยูใน Fa cup) ถึงย่ำแย่ขนาดนี้ พวกเขายังทำเกมบุกกันได้ดี ยังคงเชฟของระบบการเล่นและสร้างสรรค์โอกาสได้เป็นกอบเป็นกำ ตัวผู้เล่นบาดเจ็บก็ทยอยกลับมาแล้ว แต่ทำไมจู่ๆก็เหมือนความสามารถในการถลุงประตูมันหายไปเฉยๆ! จู่ๆก็กลายสภาพเป็นทีมที่ใช้โอกาสเปลืองไปซะอย่างงั้น! แล้วพอแดนหน้าทำงานตามจ็อปไม่ได้ แผลก็เริ่มลุกลาม เลยเถิดไปถึงขั้นแพ้คริสตัลพาเลซคาบ้าน กับนัดก่อนที่เจอกับฟูลแล่มก็เล่นได้ไม่ค่อยดีแต่แค่มีลูกฟรีคิกสุดคม กับตอนนั้นมีดิอาโก้ โชวต้าที่ยังไม่บาดเจ็บ เลยเถิดมาถึงนัดนี้ที่แพ้เอฟเวอร์ตันในเกมดาร์บี้แม็ทซ์ อับอายขายขี้หน้ามหาศาล ผมว่าบรรดาเด็กหงส์คงได้แต่ตั้งคำถามว่า "หงส์แดงเป็นอะไร?" , "เกิดอะไรขึ้นกับหงส์แดง?" , "ทำไมถึงกลายเป็นคนละทีมได้ขนาดนี้?" ซึ่งผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้นครับ และบทความนี้ผมก็จะลองมาคิดวิเคราะห์ดูว่ามันเป็นเพราะอะไร? ขึ้นชื่อว่าเอฟเวอร์ตันใครๆก็รู้ว่านี่คือทีมที่โดนคู่แข่งถล่มใส่แทบจะทุกอาทิตย์ พวกเขาหวิดจะตกชั้นอยู่รอมร่อ แต่ทำไมลิเวอร์พูลถึงทำอะไรไม่ได้ แถมยังเกินเบอร์ไปถึงขั้นพ่ายแพ้จนถ้วยพรีเมียร์กระเด็นหลุดมือไปแล้ว สถานการณ์มันไม่ต่างจากตอนเจอร์ราดลื่นเลยนะครับบอกตรงๆ อย่าเสียเวลาสาธยายให้มากความ มาครับ! เรามาลองสืบหาสาเหตุกันดีกว่า! 1. อย่าเก็บคนหมดไฟไว้ในองค์กรใช่ครับ! ผมกำลังพูดถึงเจอร์เก้น คล็อปป์ คือไม่ได้แปลว่าผมไม่สรรเสริญเขานะครับ เพราะเขาก็คือโค้ชระดับอ๋องของลิเวอร์พูลคนหนึ่ง ฝีไม้ลายมือมากมาย พาทีมประสบผลสำเร็จมาทุกอย่างแล้วบนพื้นพิภพ แต่สิ่งที่ผมจะสื่อคือในเกมๆนี้เนี่ยะ ผมว่าคล็อปป์ปล่อยเกินไป เขาดูเกมดาร์บี้แมทซ์หนนี้ด้วยรอยยิ้ม โดนยิงทีก็ยิ้มที ความกระตือรือร้น , ความเกรี้ยวกราด , การตะคอก , การด่ากระตุ้นนักเตะ ฯลฯ มันหายไปอย่างสิ้นเชิง! ดูออกเลยครับว่าคล็อปป์ไม่เหลือแพสชั่นใดๆกับฟุตบอลแล้ว เพราะถ้าย้อนกลับไปสัก 5 ปีก่อนเราจะไม่มีทางเห็นเขายืนยิ้มแฉ่งอุปมา "เล่นให้สนุก เล่นให้เต็มที่ ได้ก็ดีไม่ได้ก็ไม่เป็นไร" แบบนี้เด็ดขาด! เขาจะตวาดใส่ทุกคนอย่างทรงพลัง แต่ก็นั่นล่ะครับในเมื่อคนมันหมดไฟ! มันจะทำแบบนั้นไปทำไมในเมื่อทำมาเป็นสิบๆปีแล้ว อีกแค่ 4 เกมก็จะจบอาชีพนี้แล้ว บางทีในหัวคล็อปป์อาจจะคิดถึงชายหาด คิดถึงใบหน้าครอบครัวกับวันหยุดยาวในวัยใกล้ 60 ของเขาแล้วก็ได้ มันเหมือนกับเด็กม.6 สักคนที่สอบตรงเข้ามหาลัยที่ต้องการได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องแคร์คะแนน O-net ไม่จำเป็นต้องท่องหนังสือสอบแอดมิดชั่นเหมือนเพื่อนคนอื่น ไปโรงเรียนก็ไปพองั้นๆ ทุกอย่างที่คิด ทุกจิตที่ทำ คิดถึงแต่รั้วมหาลัยและความเป็นเฟรชชี่ซึ่งเปรียบเสมือนโลกใบใหม่ที่ตื่นตาตื่นใจกว่า โดยส่วนตัวผมเห็นคล็อปป์ในเกมนี้เป็นเช่นนั้นจริงๆครับ (ซึ่งเราก็จะไปว่าแกไม่ได้) 2. ทัศนคติหมดไฟลุกลามไปถึงนักเตะพอเจอร์เก้นคล็อปป์เอาแต่ยืนกอดอกทำหน้านิ่ง ทัศนคติแบบ "ได้ก็ดี ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร" ก็ถูกส่งลงไปถึงลูกทีมในสนาม คุณผู้อ่านสังเกตไหมครับว่าทุกครั้งที่ดาร์วินยิงบอลเต็มหลังเท้าแล้วไม่เข้า กล้องจะจับไปที่เขาแล้วเขาก็จะ "ยิ้ม" ออกมาอย่างอารมณ์ดี ฝั่งโม ซาล่าห์ เองก็เช่นกัน ทุกครั้งที่บอลกระฉอกออกมาตั้งให้ยิงเหน่งๆ เขาจะตะบันบอลขึ้นฟ้าแทบจะทุกครั้ง แล้วพอกล้องจับมาที่เจ้าตัวซาล่าห์ก็จะ "ยิ้ม" ออกมาเช่นกัน ผมรู้ครับว่ามันอาจจะฟังดูไม่เป็นวิทยาศาสตร์และไร้หลักฐานพิสูจน์ แต่เราเด็กหงส์ทุกคนก็น่าจะได้กลิ่นตุๆอยูไม่ใช่เหรอครับ ว่าโม ซาล่าห์จะไม่อยู่ที่ลิเวอร์พูลแล้ว! เขาน่าจะย้ายไปซาอุในฤดูกาลหน้า คำถามคือแล้วมันต่างอะไรจากเจอร์เก้นคล็อปป์ตอนนี้มิทราบ?! บอสก็ชิว ลูกทีมก็ชิว ตัดภาพไปกวาเวนแบกที่ไม่ค่อยจะได้ลง เจ้าตัวก็คงจะคิดว่า "ไม่เป็นไรเดี๋ยวบอสใหม่ก็มา เราก็ซ้อมกับทีมไปก่อนรักษาตัวอย่าให้เจ็บ โอกาสใหม่กำลังจะมาไว้พิสูจน์ตัวเองทีหลัง" หรือจะเป็นฮาวีย์ เอลเลียต ที่มักจะบ่นว่าตัวเองไม่ค่อยได้เป็นตัวจริง เขาก็คงจะคิดว่า "ช่วงนี้สำรองก็คงไม่เป็นไร เดี๋ยวบอสใหม่ก็มา ถึงตอนนั้นค่อยพิสูจน์ตัวเองก็ได้ ตอนนี้ก็แค่ประคองตัวอย่าเจ็บอย่าไข้ไปก่อน" เห็นไหมครับคุณผู้อ่าน ว่าไม่ว่าจะเป็นนักเตะคนไหนก็สามารถอนุมานแบบนี้ได้หมดเลย คือสมาธิของทุกคนโฟกัสไปที่บอสคนใหม่กันหมดแล้ว จะใส่ใจคล็อปป์ทำไมในเมื่ออีก 4 เกมแกก็ไปแล้ว เวลาลงไปเล่นก็แค่เล่นไปตามแผน ไม่ต้องทุ่มทุนมาก ไม่ต้องใส่สุดเดี๋ยวจะบาดเจ็บ โอกาสของพวกตัวสำรองจะมาพร้อมกับการมาถึงของโค้ชใหม่ พวกเขาก็เลยออกอาการชิว ไม่กระตือรือร้นหรือไม่เน้นในจังหวะ 50/50 ยิ่งคล็อปป์ไม่ตะคอกใส่อย่างที่เคยทำ ทุกอย่างก็เลยพังไปหมด แล้วก็เป็นสาเหตุให้ลิเวอร์พูลพ่ายแพ้ในเกมนี้ในมุมมองของผมครับ 3. ดาร์วิน นูนเญซพูดอังกฤษได้รึยัง?เชื่อว่าเด็กหงส์ทุกคนคงเซ็งกับศูนย์หน้าค่าตัวแพงคนนี้แบบเหนือคณานับ ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น มิหนำซ้ำผมยังถึงขั้นอคติและยกดาร์วินไว้ในเทียร์เดียวกับคาริอุสที่เป็นอดีตมือประตูของทีมเลย คือคนอะไรจะพลาดได้บ่อยขนาดนั้น แล้วพี่แกยิงบอลอย่างอื่นเป็นไหมนอกจากการกดหลังเท้าเต็มแรง! เจมี่ คาราเกอร์ ยังให้สัมภาษณ์ไว้เลยว่า สาเหตุหนึ่งที่ทำให้ลิเวอร์พูลเจอความยากลำบาก ก็คือคุณภาพในการจบสกอร์ของดาร์วิน นูนเญซ คือถ้าเขายิงเข้าบ้างงานของเพื่อนๆ มันก็จะง่ายลงเยอะ กองหลังก็จะได้ไม่ต้องดันสูงขึ้นมาช่วย เพราะถ้าพลาดมันก็คือการเสียประตู สิ่งที่น่าสนใจสำหรับผมคือ ผมรู้มาว่าดาร์วินพูดภาษาอังกฤษไม่ได้และฟังภาษาอังกฤษไม่ออก เพราะฉะนั้นการที่กูรูเมืองนอกและแฟนคลับต่างประเทศถาโถมด่าทอเขาเนี่ยะ เขาจะรู้บ้างรึเปล่า? เขารู้ไหมว่าแฟนบอลต้องการประตูจากเขาไม่ใช่รอยยิ้ม? สองปีแล้ว สองฤดูกาลเต็มๆ กับค่าตัวระดับ 85 ล้านปอนด์ จำนวนประตูที่ทำได้น้อยเกินไปครับ! และดาร์วินสอบไม่ผ่านสำหรับผม ใครจะว่าผมอคติก็เชิญด่าได้เลย แต่กองหน้าลิเวอร์พูลต้องดีกว่านี้จริงๆครับ 4. ยิ่งยิงไม่ได้ยิ่งกดดันทีนี้เรามาลองมองอีกมุมกันบ้างครับ ว่าเพราะเหตุใดแดนหน้าของลิเวอร์พูลถึงฝืดกันเหลือเกิน ผมคิดออกอย่างเดียวครับนั่นก็คือประเด็นเรื่องของความกดดัน คือพอเป็นกองหน้าแล้วไม่สามารถส่งบอลผ่านมือประตูเข้าไปซุกก้นตาข่ายได้เนี่ยะ หลายๆครั้งเข้ามันก็คงจะเกร็ง! จากแต่ก่อนยิงแรงๆก็เข้า พอมันไม่เข้าก็ต้องปรับเป็นเล่นทาง ซึ่งพอเน้นทิศทางมันก็กลายเป็นไม่แรงพออีก หรือบางทีเจอช่องที่พอจะยิงได้ แต่พอติดภาพจำว่าช่วงนี้ยิงติดบล็อคบ่อย ในเสี้ยวอึดใจก็เลยตัดสินใจยึกจังหวะหลอกสักครั้ง กะเอาให้เข้าชัวร์ๆ แต่ผลลัพธ์ที่ออกมาก็กลายเป็นมากจังหวะเกินไป จนโดนกองหลังพุ่งเข้ามาสกัดได้ทันอีก มันเหมือนโรคเรื้อรังที่ติดต่อกันได้ยังไงก็ไม่รู้ครับ โดยเริ่มจากดาร์วิน ลามไปที่ซาล่าห์ เข้าไปถึงหลุยส์ ดิแอส ส่วนไอ้คนที่มีภูมิต้านทานอันแข็งแกร่งอย่าง ดิอาโก้ โชวต้า ก็ดันมาโดนโรคเดี้ยงเล่นงานแทน มีอย่างที่ไหนเล่นได้นัดหนึ่งเจ็บต่ออีกสองอาทิตย์ โอ๊ย!! เหนื่อยหน่ายจนไม่รู้จะเชียร์ยังไงแล้วครับ! สรุปสุดท้าย มันจบแล้วครับนาย! ลิเวอร์พููลคงไม่สามารถคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกปีนี้ได้แล้ว และความจริงก็คือความจริงว่าพวกเขาจะส่งเจอร์เก้น คล็อปป์ โคตรโค้ชผู้หมดไฟไปพร้อมกับถ้วยคาราคัพ (เล็กๆ) เพียงแค่ถ้วยเดียว เป็นการจากลาที่สารเลวเกินจะรับได้ เจอร์เก้น คล็อปป์ควรจะได้สิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ แต่ก็นั่นล่ะครับ! ในเมื่อนักเตะทำเพื่อโค้ชกันไม่ได้ แล้วหลักฐานก็เห็นอยู่ทนโท่ในสนาม ปั้นโอกาสให้ยิงแทบตายแต่เมื่อยิงกันไม่เข้าถ้วยแชมป์ใบไหนในโลกก็ไม่อยู่กับเราหรอกครับ ทำใจ! ยอมรับ! "ทีมไม่ได้เล่นแย่แต่แค่ผลมันไม่เป็นอย่างที่เราคิด" ในฐานะเด็กหงส์คนหนึ่ง ผมคงคิดปลอบใจตัวเองได้แค่นี้ครับ เครดิตรูปภาพภาพหน้าปก 1 จาก FB : Liverpool Fcภาพหน้าปก 2 จาก FB : Liverpool Fcรูปที่ 1 จาก FB : Liverpool Fcรูปที่ 2 จาก FB : Liverpool Fcรูปที่ 3 จาก FB : Liverpool Fcรูปที่ 4 จาก FB : Liverpool Fc