เฟรเดริก โชแปง (Frédéric Chopin) ชื่อนี้นับว่าเป็นที่รู้จักของผู้คนมากมายในฐานะกวีเปียโนที่เปี่ยมด้วยพรสวรรค์คนหนึ่งของโลก และเพราะอย่างนั้น เราจึงจะไม่พูดถึงประวัติ ผลงาน หรือเรื่องราวของเขามากนักในที่นี้ ข้อมูลเหล่านั้นล้วนมีให้ได้อ่านเยอะอยู่แล้ว เราเพียงขอไฮไลท์เขาไว้ในความทรงจำในฐานะนักดนตรีชาวโปแลนด์ที่รักชาติยิ่งชีพ แต่ต้องไปใช้ชีวิตอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศสเพื่อหลีกหนีภาวะสงครามและไม่มีโอกาสกลับบ้านเกิดจนลมหายใจสุดท้ายของชีวิต หลายคนอาจประทับใจเขาในฐานะนักเปียโนที่มีพรสวรรค์อันน่าทึ่งซึ่งเริ่มเล่นเปียโนตั้งแต่อายุ 6 ขวบ แต่งเพลงแรกตอนอายุ 7 ขวบ และเปิดการแสดงต่อหน้าสาธารณชนครั้งแรกตอนอายุเพียง 8 ขวบ หรืออาจจะในฐานะหนุ่มนักดนตรีผู้มีหัวใจโรแมนติกและขี้อาย แสดงออกซึ่งความรักอันเปี่ยมล้นผ่านทางบทเพลง หรืออาจจะในฐานะชายคนหนึ่งที่รักและคิดถึงประเทศบ้านเกิด เล่นดนตรีระดมทุนเพื่อส่งกลับไปช่วยเหลือประเทศ และพกดินจากโปแลนด์ติดตัวไว้จนสิ้นลมหายใจ ทุกเหตุผลล้วนควรค่าแก่การที่เราจะตกหลุมรักเขาและบทเพลงของเขา เพราะฉะนั้น เมื่อได้มีโอกาสมาเยือนประเทศโปแลนด์ บ้านเกิดเมืองนอนที่เขารัก กิจกรรมที่ควรได้ลองสักครั้งคือ การพาตัวเองเข้าไปนั่งในห้องแสดงเปียโน ดื่มด่ำไปกับเสียงเพลง และระลึกถึงชายผู้หนึ่งซึ่งมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้เพียง 39 ปี แต่ทิ้งบางสิ่งไว้เนิ่นนาน ณ เมืองกรากุฟ หรือ คราเคา (Kraków) ย่าน Old town ซึ่งเป็นแหล่งแฮงค์เอาท์ เดินเล่น ดื่มกิน ดินเนอร์ของผู้คน ชั้นบนของทาวน์เฮาส์หลังหนึ่งถูกดัดแปลงเป็นสถานที่บรรเลงเปียโน ซึ่งจะบรรเลงเฉพาะเพลงของโชแปงเท่านั้น เป็นที่ที่เราจะสามารถสัมผัสโชแปงได้เท่าที่เราอยาก (มีการแสดงประมาณสัปดาห์ละ 1 ครั้ง โดยศาสตราจารย์ด้านดนตรีของมหาวิทยาลัยในเมืองกรากุฟ) บัตรราคา 15 ยูโร (ราวๆ 600 บาท) สำหรับบุคคลทั่วไป และ 10 ยูโร สำหรับนักศึกษา การแสดงจัดในเวลาหนึ่งทุ่มครึ่ง หลังมื้อค่ำ และก่อนเวลาแฮงค์เอาท์ หรือใครไม่แฮงค์เอาท์ ก็ฟังดนตรีเคลิ้มๆ แล้วกลับบ้านไปนอนหลับฝันดีได้เลย อากาศช่วงค่ำๆ หลังพระอาทิตย์ตกดินในเดือนกันยายนอยู่ที่ประมาณ 7-8 องศาเซลเซียส ข้างนอกหนาวเหน็บ (หนาวมากสำหรับคนไทยอย่างเรา แต่จริงๆ แล้วที่นั่น ณ ตอนนั้นคือ Summer นะคะ หน้าร้อนแต่มีฝนตกและอากาศหนาวกว่าหน้าหนาวบ้านเราค่ะ) แต่ภายในทาวน์เฮ้าส์ช่างอบอุ่น บันไดไม้พาเราขึ้นไปที่ชั้นสอง ห้องเล็กๆ นั้นมีม้านั่งราว 4-5 แถว ผู้ชมนั่งเต็มทุกแถว กลิ่นไม้เก่าๆ ผสมผสานกับการจัดแต่งแบบเรียบง่าย มีรูปโชแปงติดบนฝาผนัง และเปียโนตัวใหญ่ตั้งอยู่ด้านหน้า รอเปิดการแสดง บรรยากาศภายในห้องเงียบสงบ ผู้ชมไม่พูดคุยกันมากนัก ต่างคนต่างจดจ่อรอคอยความรื่นรมย์ เพลงถูกบรรเลงตามลิสต์ที่ปรากฏในแผ่นโปรแกรมที่แจกตอนลงทะเบียน เพลงที่จบลงจะจบโดยสมบูรณ์ด้วยเสียงปรบมือต่อเนื่องยาวนานและการโค้งคำนับเพื่อรับเสียงปรบมือของนักเปียโน การแสดงมีพักครึ่ง และการพักครึ่งนั้น สิ่งที่จัดเตรียมไว้คือน้ำผลไม้ และไวน์แดง สำหรับเรา เลือกทั้งสองอย่าง กระดกน้ำผลไม้แล้วตามด้วยจิบไวน์แดง พูดคุยกับเพื่อนๆ แลกเปลี่ยนอารมณ์ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในช่วงแรกของการแสดง ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า การนั่งฟังเปียโนสดๆ ในห้องนี้ กับการเปิดยูทูปฟังนั้น ต่างกันคนละโลกเลย 15 นาทีผ่านพ้นไป ครึ่งหลังเริ่มต้นขึ้น จะด้วยฤทธิ์ของไวน์แดง หรือพลังของบทเพลง หรือทั้งสองอย่างผนึกกำลังกันก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ความเคลิบเคลิ้มและตกอยู่ในภวังค์ เหมือนเราหลุดไปอยู่อีกโลกหนึ่งที่ไม่มีอะไรเลย นอกจากตัวเรา และเสียงเพลง เราไม่ใช่นักดนตรี ไม่ใช่แม้กระทั่งนักฟังเพลงผู้เชี่ยวชาญในบทเพลงประเภทต่างๆ เราเป็นคนธรรมดาที่ไม่ได้มีความรู้เรื่องตัวโน้ตเลยด้วยซ้ำ แต่ดนตรีก็คือดนตรี แทรกซึมเข้าสู่หัวใจของคนได้ทุกเพศทุกวัย สารที่ผู้ประพันธ์ต้องการสื่อ ดนตรีคือสื่อนำที่ทรงประสิทธิภาพที่สุด ไม่ต้องการวุ้นแปลภาษา ไม่ต้องอธิบายกันให้ยืดยาว เราต่างรับรู้ได้ทันที ใครมียุโรปเป็นจุดหมายปลายทาง ลองพาตัวเองเข้าไปในโรงละคร ฟังดนตรีสด (ที่หาได้ง่ายพอๆ กับโรงภาพยนตร์ในบ้านเรา) เพื่อดื่มด่ำความรู้สึกเคลิบเคลิ้มจากบทเพลงดูนะคะ และถ้าในทริปยุโรปมีโปแลนด์บรรจุอยู่ด้วย ก็อย่าลืมคุณโชแปง เขาอยู่ที่นั่น ตลาดมาและตลอดไป กวีเปียโนชื่อก้องโลกไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ เขาทิ้งอะไรไว้ อยากให้ลองสัมผัสดูค่ะ ภาพทั้งหมดโดย : นักเขียน