ชีวิตทุกชีวิตต่างดิ้นรน เพื่อดำรงเผ่าพงศ์ยืนวงษ์สูญ แม้เพียงชีวิตที่สมบูรณ์เหาะไป เจ้ามีปีกพาบินจรออกหากิน เช้ากลับถิ่นถวิลเจ้าหลับไหลให้แกร่งกล้า พลบค่ำเมื่อถึงกาลและเวลา พร้อมหน้าบินถลาสู้แรงลม ตามฝูงตนออกหาซึ่งอาหาร ชีวิตต่างชีวิต ต่างเวลา ต่างต้องหาทางรอดให้กับตน กี่ครั้งที่ต้องพบกับปัญหา แต่เวลายังคงเดินต่อไป ถ้าไม่ออกบินไม่สู้ต่อชะตาชีวิตคงต้องหายตายจากไป นาฬิกาชีวิตในทุกชีวิตบนโลกใบนี้มีเหมือนกัน ซึ่งบางชนิดจะออกหากินในตอนเช้า ทั้งวันและกลับเข้าพักในเวลาพลบค่ำตะวันลา แต่สำหรับบางชีวิตใช้เวลาทั้งวันในการพักผ่อน เมื่อตะวันใกล้ลับขอบฟ้าทุกชีวิตพร้อมที่จะทะยานออกจากที่อยู่ มากกว่าล้านตัว แทบจะไม่น่าเชื่อในการชมครั้งแรกในชีวิตเกินสิ่งที่คาดหมาย โดยปกติแล้วเวลาที่เราจะเดินทางไปเที่ยวที่ไหน สิ่งแรกที่เราคิดก่อนจะออกเดินทาง แน่นอนว่าทุกคนจะต้องคิดวาดฝันว่าจะไปที่นั่นที่นี่แล้วจะเจออะไรอย่างไร และในเวลาต่อมาก็คือการประเมินสิ่งที่ได้เที่ยวในตอนเย็นเพื่อเตรียมการในการเดินทางในวันต่อไป ครั้งนี้ได้มีโอกาสเดินทางไปดูค้างคาว เป็นครั้งแรกในชีวิต ด้วยคำแนะนำจากน้องชายเจ้าของรีสอร์ท ว่าสถานที่แห่งนี้เมื่อมาถึงแล้วต้องไปชมฝูงค้างคาว ด้วยความคิดที่ว่ายังไงแล้วเราได้มาถึงสถานที่นี้ ระยะทางคงไม่ไกลและเกินกำลังจะเดินทางไปถึงอย่างแน่นอน จึงสอบถามช่องทางและออกเดินทางไปดู ด้วยเวลาจำกัดเพราะน้องบอกว่าจะต้องไปถึงก่อนเวลาหกโมงเย็น ถึงจะเห็นฝูงของค้างคาวจำนวนมากบินออกหากิน ในความคิดตอนแรกเรานึกถึงค้างคาวที่เราเคยนำมาเลี้ยง เพราะแม่ซื้อมาจะทำอาหารตัวเท่ากับฝ่ามือ ยังเป็นภาพความทรงจำเพราะไม่เคยเห็น ค้างคาวที่เคยไปเที่ยวดำน้ำดูที่ถ้ำมรกต เคยเห็นแต่ลูกตาเพราะมองในถ้ำมืด จึงจินตนาการตามที่เคยเห็น ยอมรับว่าไม่ได้ตื่นเต้นอะไรมากนัก เพราะมีกาการตื่นเต้นในเรื่องของการว่ายน้ำมากกว่า มีใครกล้ากว่านี้ไหม ว่ายน้ำไม่เป็นเกาะตีนเป็ดของคนนำทางดำเข้าไปในถ้ำมรกต แต่พอมาถึงสถานที่ถ้ำค้างคาว ในภูผาม่าน จังหวัดขอนแก่น เท่านั้นถึงกลับต้องร้อง อุทานออกมาดังๆ มันวิเศษที่สุด ว้าว! อลังการมาก เป็นนิมิตรหมายอันดี ที่เมื่อรถของเราจอด เปิดประตูลงยังไม่ถึงสามนาที เสียงร้องของเจ้าค้างคาวและท่านผู้ชมดังขึ้น เรามองไปตามเสียงนั้น ฝูงค้างคาวจำนวนมาก ซึ่งมีการสอบถามคนเจ้าถิ่นบอกคือค้างคาวหน้าย่น เรามองจากไกลๆจะดูว่าตัวเล็กมาก บางคนบอกเหมือนเมล็ดแมงลัก เหมือนเมล็ดพืชหรือแมลงวัน หลากหลายมุมมอง แต่ถ้าเรานั้นฟังเสียงร้องนั่นคือค้างคาว ซึ่งอาจจะมีกลิ่นบ้างตามชื่อ เพราะค้างคาวมากกว่าล้านตัวเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ถ่ายและจะไม่มีกลิ่น ไหนจะห้องน้ำของค้างคาวจะเละขนาดไหน แต่มูลของค้างคาวมีประโยชน์มาก ราคาดีด้วยหากนำไปขาย เสียงเพลงขับขานของเหล่าค้างคาว คงดังขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งไม่ได้ดูตกใจกับเสียงของท่านผู้ชมทั้งหลายเลย ถ้าให้เปรียบเทียบการเดินทางของค้างคาวเหมือนกับโน้ตของดนตรีสักตัว ที่มีการบรรเลงเพลง แล้วตัวโน้ตจะวิ่งไปตามเสียงของดนตรี อย่างไม่ขาดบรรเลงอยู่อย่างนั้นมากกว่าสามสิบนาที มีบางครั้งน้อยบ้างหนาตาบ้าง ซึ่งถ้าหากเสียงดังจำนวนก็จะเยอะ เสียงเบาจำนวนก็จะน้อย แต่สิ่งที่ฝูงค้างค้าวไม่มีคือขาดหาย เส้นทางที่บินออกจากถ้ำมีการเว้นระยะห่างอย่างพอดี ไม่มีตัวไหนที่บินชนกับเพื่อนแล้วตกลงมากับพื้น มันคือความพร้อมเพรียง สิ่งนี้คือความมหัศจรรย์ที่สุด ความสุขในการมอง มุมมองของคนเรานั้นต่างกันในการดูสิ่งเดียวกัน บางคนที่ไม่มีมุมมองอาจจะบอกว่า มาดูอะไรก็ไม่รู้เหม็นก็เหม็น มันก็แค่ตัวอะไรสักอย่างที่บินออกมาจากปากถ้ำ เป็นสายทางไม่ได้มีอะไรน่าสนใจเสียเวลา แต่กลับอีกบางคนอาจจะคิดไปในมุมมองของสิ่งที่ให้กำลังใจตนเอง แค่การคิดก็ยังแตกต่างคนเราจะไม่แตกต่างกันได้อย่างไร ต่างแม่ต่างพ่อ พ่อแม่เดียวกันยังต่างนิสัยบางคนทำร้ายได้แม้แต่ผู้ให้กำเนิด ยิ่งมองยิ่งเห็นความแตกต่างเพราะฉะนั้น ใช้ชีวิตให้พอเหมาะไม่ตึงไม่หย่อนจนเกินไป ไม่มองโลกในแง่ดีเสียจนตัวเองเดือดร้อน และอย่ามองโลกในแง่ร้ายจนทำร้ายคนดี ถ้ำค้างคาว เมื่อลงจากรถตรงหน้านั้นคือบ้านของเจ้าค้างคาวนับล้านตัว ที่บินออกจากปากถ้ำมากมาย จนนักท่องเที่ยวแหงนดูจนปวดคอ ความสวยงามเหล่านี้ได้ชี้ชวนให้ เดินเข้าไปใกล้ๆ จนอยากที่จะหาทางเดินขึ้นไปดูด้านบน จากที่จอดรถประมาณประมาณห้าร้อยเมตรได้ เราเดินไปเรื่อยๆ ตามเสียงค้างคาวเราจะพบกับเส้นทางที่จะขึ้นไปถึงปากถ้ำ เมื่อไปถึงเห็นเส้นทางขึ้น หน้าป้ายไม่ได้มีป้ายห้ามขึ้นหรือห้ามผ่าน จึงตัดสินใจเดินขึ้นไปพร้อมกับเพื่อนร่วมงานท่านหนึ่งที่เดินทางไปด้วยกัน ซึ่งอยากที่จะขึ้นไปดูและหาเพื่อนเช่นกันซึ่งคิดเหม่อนกันว่า มีโอกาสได้มาเจอครั้งหนึ่งครั้งเดียวไม่รู้ว่าจะมีโอกาสมาอีกครั้งไหมต้องขึ้นไปดูให้ถึงที่ การตัดสินใจครั้งนี้น่าจะถูกต้องเพราะอย่างไรแล้วเราไม่ได้ขึ้นเพียงลำพัง เกิดอะไรขึ้นยังมีคนช่วยได้ หรือบอกได้ว่าเราขึ้นไปปากถ้ำ ทางขึ้นสูงชันเดินตามโขดหินและทางธรรมชาติขึ้นไปเรื่อยๆ เห็นป้ายเริ่มออกเดินทางได้ เมื่อตัดสินใจแล้วปลายทางคือจุดหมาย ตอนที่ใช้กำลังขาในการปีนขึ้นนั้น ต้องการหยุดอยู่หลายรอบ เพราะมองกลับไปด้านหลังแล้ว สูงและชันเกินไป แต่เมื่อมองไปด้านหน้าคนหนึ่งไม่หยุดจึงเดินหน้าต่อ ปีนขึ้นโขดหินชนิดที่ว่า จนสุดขาด้วยความที่ทางขึ้นเป็นหินลาดยาว บางครั้งที่ปีนขึ้นไปชันถึง 90 องศา ต้องใช้กำลังเยอะ รองเท้ามีส่วนสำคัญ เพราะถ้าหากว่าพลาดครั้งเดียวคือจบ กลิ้งลงเขาต้องเริ่มปีนขึ้นมาใหม่ ลำต้นของต้นไม้ กิ่งไม้เหล่านั้นคือตัวช่วยพยุงและจับโหนบ้างในตอนที่คลานลง การจิกของปลายเท้าเรานั้นสำคัญที่สุด ที่จะประคองไม่ให้ตนเองลื่นและสไลด์ลงตามทางลาดหิน เอาจริงๆนอกจากจะใช้สมาธิแล้ว ยังใช้ความกล้าในการก้าวเท้าแต่ละก้าวด้วย เดินหรือปีนเขามาหลายเขาแล้ว เขานี้ก็เป็นอีกเขาหนึ่งที่ขึ้นและลงต้องใช้พละกำลังอย่างมาก กลางวันไม่เหมาะที่จะขึ้นไป เพราะทางขึ้นค่อนข้างร้อน อาจจะทำให้แผ่นหินร้อนไปด้วย ถ้าขึ้นในเวลาแดดอ่อนและลงก่อนจะมืดมิดดีที่สุด เส้นทางขึ้นว่าชันสูง เราลองหันกลับไปมองทางลงกัน ตอนแรกยังรู้สึกตื่นเต้นกับตัวเองว่า ขึ้นมาได้แล้วตอนลงเราจะลงอย่างไร ที่ไม่ให้หัวทิ่ม มาถึงตอนนี้ยังไม่ถึงปากถ้ำ แต่หยุดเพราะว่าหัวใจตอนนี้เต้นแรงแทบจะทะลุออกมาด้านนอก และเหงื่อของความตื่นเต้นหยดลงบนแผ่นหิน ด้านหลังคือทางลง ด้านหน้าคือทางขึ้น เราจะไปต่อหรือพอเพียงเท่านี้ มาสองคนหันหน้าถามกัน แต่แล้วเรามองเห็นด้านบนมีคนสองคนกำลังถือถุงปุ๋ย กระสอบคนละใบจึงร้องถามว่า ขึ้นไปได้ไหมปากถ้ำ เพราะตอนนั้นเริ่มมองเห็นฝูงค้างคาวชัดเจนขึ้นแล้ว เสียงตอบกลับมาว่าขึ้นมาได้ กำลังจะหันไปถามอีกคนเริ่มปีนขึ้นไปแล้ว เราเองหันมามองตนเองบอกตัวเองว่า ปีนขึ้นเลยยังไงก็มาถึงตรงนี้แล้วเพียงไม่กี่อึดใจจะถึงปากถ้ำตอนลงค่อยว่ากัน ลงไม่ได้ก็ต้องได้ เราจะบอกว่านอกจากจะต้องพยายามปีนขึ้นมาแล้ว อีกอย่างหนึ่งคือกลิ่นและเสียงของค้างคาว จะดังขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเราจะต้องยอมรับกับสภาพนี้อยู่แล้ว แต่กลิ่นก็ไม่ได้รุนแรงขนาดหายใจไม่ได้ ปีนต่อไปใช้เวลาประมาณไม่ถึงห้านาทีก็ถึงปากถ้ำ แต่ต้องใช้แรงดึงตัวเองขึ้น เพราะด้านหน้าหินสูงประมาณ 120 เซนติเมตร เรียกว่าแทบจะคลานเข้าปากถ้ำ ในภาพปากถ้ำอาจจะดูเล็ก แต่ความจริงแล้ว ใหญ่ขนาดรถเก๋งขับเข้าได้พอดี ภาพนี้ถ่ายในระยะไกล เส้นทางที่จะเข้าไปในปากถ้ำคือต้องคลานเข้าไป เพราะหินลาดมีรูของช่องหินที่สามารถใช้มือจับและดึงตนเองขึ้นไป สำหรับคนที่เคยปีนเขาจะไม่ค่อยลำบาก แต่ถ้าคนไหนที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายแน่นอนว่ามือต้องอ่อน เพราะความเหนื่อยล้าและชันของทางขึ้นปากถ้ำ การที่เรานั้นจะไปเดินป่าหรือปีนเขานั้น จะต้องมีการทดสอบร่างกายก่อนเพราะไม่อย่างนั้นร่างกายของเราจะได้รับบาดเจ็บ ในเรื่องของกล้ามเนื้อ ใครจะรู้ว่าด้านบนมีคนอยู่มองเห็นไกลๆ จึงได้ร้องตะโกนถาม สองผัวเมียที่อยู่ด้านในว่ามาทำอะไรบนนี้ คำตอบที่ได้คือขึ้นมากวาดขี้ค้างคาวลงไปทำปุ๋ย ซึ่งมีประโยชน์สามารถนำไปขาย ทำรายได้ให้กับครอบครัว ซึ่งเราก็ได้ถามว่าขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ทั้งสองได้ขึ้นมาตั้งแต่ตอนที่ค้างคาวยังไม่บินออก ด้านในจะเป็นมี่อยู่ของค้างคาวจำนวนมากซึ่งตอน ค้างคาวจะใช้ขาของมันเกาะผนังถ้ำไว้และห้อยหัวลงมา พักผ่อน ซึ่งอยู่ที่สูงมาก หน้าผาเลยทีเดียวคงเพราะความปลอดภัยของชีวิต ศัตรูของค้างคาวจะมีเพียงเหยี่ยว และมนุษย์แต่ด้วยค้างคาวออกหากินในตอนกลางคืนจึงมีความปลอดภัย ขี้ของค้างคาวเป็นปุ๋ยชั้นดี เพราะค้างคาวจะกินเมล็ดพืชบ้างน้ำหวานของพืช ค้างคาวเองเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ออกลูกปีละหนึ่งตัวถ้าเรานับตามจำนวนแล้วน่าจะมีอายุหลายปี เพราะมีค้างคาวเป็นแสนล้านตัว อายุค้างคาวจะยืนเพราะมีลูกปีละหนึ่ง และท้องนานถ้าตัวเล็กจะประมาณสองเดือน ตัวใหญ่ก็อายุการท้องนานกว่า ถึงปากถ้ำโดยเรียบร้อย มองบนท้องฟ้าบริเวณบนปากถ้ำจำนวนของค้างคาวเริ่มลดจำนวนลง การปฏิสนธิของค้างคาวไม่เกิดขึ้นทันทีทันใด ต้องใช้เวลาเกือบหกเดือน ถึงจะตั้งท้อง น้ำเชื้อของค้างคางมีความแข็งแรงไม่น้อย ถ้าเทียบกับของมนุษย์ เพราะมนุษย์อสุจิอาศัยอยู่ท้องของผู้หญิงได้แค่สามวัน แต่ค้างคาวนานถึงหกเดือน การอาศัยอยู่ของค้างคาวก็แบ่งเพศชัดเจน ค้างคาวตัวผู้และตัวเมียจะอาศัยอยู่กันคนละที่ แยกกันจะมารวมกันเฉพาะช่วงปฏิสนธิ สิ่งมีชีวิตเล็กๆที่เลี้ยงลูกด้วยนม มีชีวิตที่แตกต่างจากสัตว์ทั่วไปหลายชนิดที่เห็นแสงตะวันแทนที่จะออกหากิน แต่กลับนอนพักผ่อน ค้างคาวเป็นสัตว์ที่กลัวแสงสว่าง ค้างคาวใช้หูทั้งสองข้างในการมองดูทิศทางค้างคาวที่เรากำลังดูบอกว่าเป็นค้างคาวหน้าย่นซึ่งบางครั้งก็จะมีบางตัวที่ยังไม่แข็งแรงบินตกลงมาแต่ไม่ค่อยเจอบ่อย ค้างคาวไม่ได้สนใจว่าจะมีคนมองหรืออยู่ตรงไหน มันสนใจเพียงหน้าที่บินตามฝูงเว้นระยะได้อย่างดี ไม่มีตัวไหนบินผิดจังหวะซึ่งในเวลาที่กลับมาก็จะกลับมาเวลาเดิมตลอด และนอนพักผ่อนอย่างเงียบๆตอนกลางวัน ปากถ้ำที่ตอนนี้เราคลานขึ้นมาด้านบน ถามว่าด้านในปากถ้ำเข้าไปโล่งไหม ไม่โล่งปากถ้ำจะเป็นที่ต่ำที่สุด ถ้าเราเข้าไปด้านในจะสูงขึ้นเรื่อยๆ และมืดมิด แต่การเข้าไปจะต้องมีชุดที่มิดชิดและมีที่ปิดจมูกเพราะจะมีกลิ่นที่รุนแรงกว่าด้านนอก ความสูงไม่เคยหยุดสูงขึ้นเรื่อยๆ ตอนลงจะต้องทำใจขนาดไหนที่จะก้าวขาเดิน ในตอนลงวิธีที่ดีที่สุดคือการเอาขาหน้าเดินไต่ลงไปก่อน แล้วค่อยเอาก้นตาม ธรรมขาติสวยงามเสมอ ปากถ้ำนี้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ค้างคาวคงจะบินหาที่อยู่ จนได้มาเจอสถานที่แห่งนี้ ยิ่งสูงเท่าไหร่ยิ่งปลอดภัยสำหรับสัตว์ตัวเล็ก คงไม่มีสัตว์ตัวไหนที่จะปีนขึ้นมาบนปากถ้ำจะเรียกว่าหน้าผาก็ยังได้ เมื่อสิ้นเสียงของค้างคาวก็ต้องรออีกครั้งในรุ่งเช้าหรือเช้ามืดตีสี่ตีห้าค้างคาวจะบินกลับมา สิ่งนี้ก็น่าแปลกใจเช่นกันว่าเวลาหาอาหาร มีค้างคาวจำนวนมากไปหาอาหารที่เดียวกัน หรืออาจจะแยกกัน แต่ทำไมเวลากลับมา เรียกกันกลับมาพร้อมเพรียงกันทั้งฝูง เป็นอะไรที่สุดๆ มาก ถ้าลองเปรียบกับคนที่ไปด้วยกันเป็นล้าน ยังไม่รู้จักกันทั้งหมด แล้วเวลากลับก็กลับใครกลับมัน กลับคนละทางด้วย แล้วค้างคาวจะรู้ได้อย่างไรว่า ตัวนี้ไม่ได้อยู่ฝูงเดียวกัน จะมีการหลงฝูงกันหรือไม่ คนเราทุกคนมองแต่ว่าตนเองดี ไม่มีใครเทียบได้ นั่นเป็นจริงแท้เพราะมนุษย์สามารถที่จะเรียนรู้เพิ่มเติม สามารถพูดได้ และทำมาหากินเองโดยที่บางครั้งไม่ต้องพึ่งพาอาศัยสิ่งมีชีวิตอื่นๆบนโลกมากนัก ค้างคาวบางครั้งในป่าไม่มีอาหาร ก็พากันไปกินพืชพรรณที่มนุษย์ปลูก แต่แท้จริงแล้วในชีวิตของค้างคาวก็มีหลายอย่างที่มหัศจรรย์ เรื่องของการจัดระเบียบก็สามารถจัดได้อย่างเรียบร้อย การออกหากิน การกลับมาพร้อมกัน ค้างคาวอยู่กันเป็นครอบครัว มีการเลี้ยงลูก คลอดลูกออกมาเป็นตัว ซึ่งเมื่อคลอดออกมาแล้ว ลูกจะพยายามตามหานมเองตามสัญชาตญาณและกินนมจนโตก็เริ่มหัดบิน และบินออกไปหาอาหารได้ การเดินทางไปชมค้างคาว ที่ภูผาม่านจะมีป้ายบอกทางตลอดยิ่งถ้าหากเราพักที่รีสอร์ทภูผาม่านริเวอร์ฮิลล์ แค่ขับรถไปอีกด้านของเขาก็จะถึงจุดชมค้างคาวซึ่งประมาณสองสามกิโลได้ จุดถ่ายภาพมีไว้ให้ ถ้ำค้างคาว ภูผาม่านขอนแก่น ธรรมชาติชีวิตของค้างคาว หนึ่งชีวิตยังคงดำเนินไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ครั้งหนึ่งเราได้มีโอกาสได้เรียนรู้ในชีวิตของสิ่งมีชีวิตที่เป็นสัตว์สังคมเช่นเดียวกันกับมนุษย์เรา แม้ว่าจำนวนอาจจะไม่มากเท่า ภาษาอาจจะเป็นเพียงภาษาสัตว์ที่ฟังไม่เข้าใจ แต่เราจะเห็นถึงความรักและความสามัคคีของฝูงค้างคาว ตอนออกหากินเราไม่รู้ว่าเจ้าค้างคาวมีการจัดระเบียบแบบไหน ใครออกก่อน ใครออกหลัง การบินต้องเว้นระยะห่างเท่าไหร่ถึงจะไม่ชนกัน ต้องบินเร็วบินช้ามากน้อยแค่ไหน บินอย่างไรให้ต้านลม เช่นถ้าเราดูดีๆค้างคาวไม่ได้บินในแนวตรง จะบินไปในแนวโยกซ้ายบ้างขวาบ้าง หรือบางครั้งก็โค้งไปมา เหมือนควันไฟที่ลอนขึ้นบนท้องฟ้า สลับกันไปมาอย่างมีศิลปะ เป็นทางยาวไม่มีอะไรมาขวางแน่นอน เพราะด้วยเสียงร้องเตือนอันดังและมีจำนวนมาก จงออกเดินทางมองชีวิตของสิ่งอื่นเพื่อเป็นกำลังใจให้กับตนเอง แม้ว่าค้างคาวจะเป็นเพียงสัตว์ตัวเล็กๆ ที่มีจำนวนมากที่ต้องออกหาอาหารพร้อมกัน ค้างคาวทุกตัวตั้งใจบินโดยที่ไม่รู้ว่าหนทางข้างหน้าจะมีอาหารกินไหม จะพบกับอะไรไหม วันนี้เหนื่อยแล้วขี้เกียจได้ไหม ไม่มีเมื่อถึงเวลาทุกตัวลุยกันหมด เวลาพักก็พักพร้อมกัน เราเองเป็นมนุษย์ที่มีพร้อมทุกอย่าง ไม่มีอาหารก็ปลูกทานเอง ทำอาหารเองได้ เป็นสิ่งที่วิเศษที่สุดแล้ว ภาพถ่ายทั้งหมดเป็นของผู้เขียน (อุ้งเท้าแมว)พิกัด >> https://goo.gl/maps/rGzfqHukjNN4YSwCAอยากไปเที่ยวไหนหรือเปล่า? หาข้อมูลที่เที่ยวสุดปังได้ที่ App TrueID โหลดเลย ฟรี !