ถึงแม้ว่าในโลกปัจจุบันนี้ เราต่างเข้าใจทุกอย่าง ๆ เป็นเหตุเป็นผลได้มากกว่าโลกยุคเก่ามาก เพราะความรู้ข้อมูลต่าง ๆ สามารถหาอ่าน หรือค้นคว้าได้ตามอินเทอร์เน็ต ความเชื่อเรื่องมนุษย์เท่าเทียมกัน ก็เป็นอีกเรื่องที่สังคมทั่วโลกกำลังตื่นตัวมากมายในเรื่องนี้ ในความเป็นจริงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ทุกคนมีเท่าเทียมกันตั้งแต่เกิด ไม่ว่าจะเกิดประเทศใด ทวีปใด สีผิวใด หรือสถานะทางสังคมเป็นอย่างไรก็ตาม แต่ในความเป็นจริงกว่านั้นเราก็ต่างรับรู้ว่าการเข้าถึงสิทธิต่าง ๆ นั้น ยังไม่สามารถเท่าเทียมกันได้ จากปัจจัยหลาย ๆ อย่างในสังคมพหุวัฒนธรรม ความหลากหลายจำเป็นต้องอยู่ร่วมกัน แต่ในเชิงสภาพแวดล้อม สังคม วัฒนธรรม ถิ่นที่อยู่อาศัยกลับเป็นประเด็นสำคัญในการกำหนดสถานภาพที่ต่างกันออกไป “คนชายขอบ” ก็เป็นเช่นที่กล่าวมา ในการที่เข้ามาถึงสิทธิขั้นพื้นฐานในสังคม มีคำจำกัดความของคนชายขอบว่า เป็นกลุ่มคนที่อยู่ไกลจากความเป็นศูนย์กลางของประเทศนั้น ๆ ทั้งในทางภูมิศาสตร์ สังคม วัฒนธรรม จะโดยพื้นฐานทางธรรมชาติ หรือสภาพเศรษฐกิจก็ตาม ซึ่งในทางปฏิบัติส่งผลให้กลายเป็นคนที่ถูกเลือกปฏิบัติอย่างหลีกเลี่ยงได้ยากขอบคุณภาพประกอบจาก pxhere.comยกตัวอย่างพื้นฐานก็เช่น หากเราเป็นคนชายขอบ บ้านอยู่ในที่ห่างไกลทุรกันดาร วันหนึ่งเกิดเจ็บป่วยขึ้นมา จะไปหาหมอหาโรงพยาบาลที่ไหน นั่นเพราะสังคมได้รวมศูนย์โรงพยาบาลที่ดีต่างก็ตั้งอยู่ในสังคมเมืองกันหมด ส่วนโรงพยาบาลรอบนอก ก็เป็นได้เพียงแค่อนามัยที่ได้แต่ใส่ยาเหลืองยาแดงเท่านั้นเอง หรือหากเราต้องทำเอกสาร ติดต่อราชการต่าง ๆ ก็ต้องเดินทางเข้าเมือง เพราะหน่วยงานราชการต่าง ๆ รวมศูนย์กันอยู่ในเมือง กว่าจะเดินทางไปถึง กว่าจะเดินทางกลับ บางครั้งใช้เวลาเช้าถึงค่ำเลยทีเดียว ขอบคุณภาพประกอบจาก pxhere.comนี่ยังไม่นับความคิด อคติทางสังคม ที่โยนปัญหามาใส่คนชายขอบอีก ไม่ว่าการจะถูกมองว่า เงอะงะ ไม่รู้เรื่องรู้ราว การแต่งตัว ความรู้ ถิ่นที่อยู่ ฯลฯ เรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นอคติกดทับทั้งสิ้น ขณะที่คนในเมืองกลับไม่ได้ถูกมองด้วยสายตาแบบนั้น ก็เพราะจากภาพลักษณ์ภายนอกที่ไม่ได้ทำให้ถูกมองด้วยสายตาอคติ อาจจะเพราะการเป็นคนเมือง การแต่งตัว หรือข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ ผลกระทบจากการกระทำต่าง ๆ เหล่านี้นี่แหละที่เป็นห่วงโซ่ที่วนกลับไปถึงเรื่องศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อยู่ดี ว่าจริง ๆ แล้วไม่ใช่แค่การตระหนักรู้ถึงความเท่าเทียมเท่านั้น แต่ต้องเข้าใจถึงปัญหาเชิงโครงสร้างความคิดอย่างแท้จริงด้วยขอบคุณภาพประกอบจาก pxhere.comหากสังคมสามารถกระจายศูนย์กลางอำนาจออกไปจากเมืองได้มากเท่าไหร่ สิทธิในการเข้าถึงการใช้บริการต่าง ๆ ก็จะเข้าถึงได้ง่ายขึ้น ความเหลื่อมล้ำทางสังคมก็จะลดน้อยลง แต่การตอบโจทย์ของสังคมเมืองก็ยังทำเพื่อคนที่อาศัยอยู่ในเมือง เพราะสาธารณูปโภค ความสะดวกสบายต่าง ๆ รวมกันอยู่ในเมืองนั่นเอง แม้แต่บุคลากรต่าง ๆ ของหน่วยงานรัฐ เราจะเห็นได้ว่ามีน้อยคนที่เต็มใจจะไปปฏิบัติหน้าที่อยู่ในที่ห่างไกล อนามัยหมู่บ้านจึงร้างหมอ โรงเรียนชนบทจึงร้างครู ฯลฯ ในเชิงโครงสร้างของรัฐก็เป็นปัญหาหนึ่งด้วยเช่นกัน ทั้งค่าตอบแทน ทั้งความเป็นอยู่ในที่ห่างไกล ได้รับการดูแลเอาใจใส่น้อยมาก ค่านิยมของการเสียสละก็เลยน้อยตามกันลงไปขอบคุณภาพประกอบจาก pxhere.comการกระจายอำนาจเป็นเรื่องสำคัญ เพราะยิ่งรวมศูนย์มากแค่ไหน สังคมรอบนอก คนชายขอบก็ยิ่งจะมีปัญหามากขึ้นเท่านั้น ลองมองภาพใหญ่อย่างประเทศไทย ที่ศูนย์กลางทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่กรุงเทพมหานคร ทั้งงานทั้งเงิน ก็เลยทำให้คนต่างหลั่งไหลเข้าไปแออัดยัดเยียดกัน หากกระจายสิ่งต่าง ๆ ออกมารอบนอกก็จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำนี้ลงได้ หากปล่อยให้จังหวัดจัดการตนเองได้ จังหวัดปล่อยให้อำเภอจัดการตนเองได้ คนในท้องถิ่นก็จะไม่อพยพหนีหาย รายได้ก็ตกเป็นของท้องถิ่นนั้น ๆ ความเจริญเติบโตก็ทั่วถึง คนนอกถิ่นก็อยากไปอยู่อาศัย หรือทำงานผลกระทบเหล่านี้เป็นเรื่องสำคัญ การพัฒนาที่มองปัญหาที่มนุษย์เป็นหลักเป็นเรื่องที่มองข้ามไม่ได้ หากสามารถจัดการเรื่องกระจายอำนาจศูนย์กลางได้จริง ๆ แล้ว ปัญหาสถานะและสิทธิการเข้าถึงก็จะค่อย ๆ หมดไป กราฟความเหลื่อมล้ำก็จะค่อย ๆ กลับมาเท่ากัน ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ก็ไม่ถูกลดทอน เมื่อนั้น คำว่า "คนชายขอบ" ก็จะจางหายไปจากหน้าพจนานุกรม สังคมก็จะมั่นคงยั่งยืน ขอบคุณภาพปกจาก pxhere.com