เนื่องด้วยไม่กี่วันมานี้ ผู้เขียนได้มีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมอบรมกับทางมหาวิทยาลัย ในหัวข้อการศึกษาพฤติกรรมและการเอาตัวรอดจากงู ซึ่งก็ทำให้ผู้เขียนได้เรียนรู้สิ่งต่างๆเกี่ยวกับงูมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องความเชื่อที่มีการเหล่าขานสืบต่อกันมา จนบางครั้งอาจทำให้เราทุกคนมองงูในแง่ที่โหดร้ายมากเกินไป วันนี้ผู้เขียนเลยอยากนำความรู้เหล่านั้นมาแชร์ให้กับเพื่อนๆ ในหัวข้อ งู 3 ชนิดที่มักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นงูอันตราย ค่ะ ขึ้นชื่อว่า "อสรพิษ" ต่อให้เชื่องแค่ไหนก็สามารถกลับมาแว้งกัดเราได้ตลอดเวลา แต่บางครั้งสัญชาตญานการรักตัวเองและการอยากเอาตัวรอดของมนุษย์ก็นำไปสู่การคร่าชีวิตของสิ่งมีชีวิตอื่นๆเช่นกัน สำหรับงู มนุษย์คือสิ่งที่น่าเกรงขามที่สุด หลายๆครั้งที่เราเห็นงูวิ่งไล่คนบ้างล่ะ ฉกคนบ้างล่ะ นั้นเป็นเพราะเขาคิดว่าเราคือผู้ล่า และสิ่งเหล่านั้นก็คือสัญชาตญานการเอาตัวรอดของงู วันนี้มาดูกันค่ะ ว่ามีงูชนิดไหนบ้าง ที่เรามักจะเข้าใจผิดและคิดว่าเขาเป็นงูอันตราย 1. งูแสงอาทิตย์ขอบคุณรูปภาพจาก: gez.official /instagram มีความเชื่อที่มีการเหล่าสืบทอดกันมาแต่โบราณว่า "งูแสงอาทิตย์เป็นงูที่มีพิษอันตราย หากใครที่ถูกมันกัดแล้ว พระอาทิตย์ขึ้นเมื่อไหร่ จะต้องตายในทันที" ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว งูแสงอาทิตย์เป็นงูที่ไม่ดุร้ายและไม่มีโครงสร้างพื้นฐานที่มีพิษอะไรเลยค่ะ ปฏิกิริยาตอบโต้ของมันเมื่อต้องเผชิญหน้ากับคน คือการอยู่นิ่งเฉยแล้วเลื้อยหนี หรืออาจมีการขู่ด้วยเสียงคล้ายงูเห่าแล้วทำตัวแบนๆแนบไปกับพื้นเลย ลักษณะสำคัญที่สังเกตได้: งูแสงอาทิตย์จะมีลำตัวสีดำหรือสีน้ำตาลเข้มทรงกระบอกยาว เกล็ดลำตัวเรียบเป็นเงาวาวสะดุดตาเมื่อสะท้อนกับแสงแดด ส่วนท้องเป็นสีขาว มีส่วนหัวแบนเรียว และตาเล็ก งูแสงอาทิตย์เป็นงูที่ล่าอาหารเก่งมากๆ กินได้ทั้ง หนู นก แมลงขนาดเล็ก รวมไปถึงงูชนิดอื่นๆด้วย และในปัจจุบันนี้ มีกลุ่มนักอนุรักษ์สัตว์เลื้อยคลานหลายกลุ่ม ที่ได้นำงูแสงอาทิตย์มาเพาะเลี้ยง เพื่อต้องการให้เป็นทางเลือกที่สำคัญในการจัดการประชากรหนู 2. งูเขียวพระอินทร์ขอบคุณรูปภาพจาก: bbeertz /instagram งูเขียวพระอินทร์ มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า " งูเขียวดอกหมาก " งูชนิดนี้จะมีพิษอ่อนๆซึ่งไม่มีผลกับมนุษย์ เราสามารถพบเขาได้บ่อยๆตามซอกมุมบ้าน ตามซุ้มไม้ งูเขียวพระอินทร์มักออกหากินในเวลากลางวัน อาหารของงูชนิดนี้ คือ กิ้งก่า จิ้งจก ลูกนก หนู งูที่เล็กกว่าบางชนิด และแมลงต่าง ๆ สำหรับงูชนิดนี้ก็มีความเชื่อที่เล่าสืบต่อกันมาว่า " งูเขียวพระอินทร์ชอบกินตับตุ๊กแก " แต่ที่จริงแล้วสิ่งที่งูเขียวพระอินทร์ทำก็เพียงเพราะจะพยายามกัดรัดตุ๊กแก เพื่อที่จะทำให้เขาสามารถกลืนกินตุ๊กแกเข้าไปได้ทั้งตัว ไม่ใช่จะล้วงเข้าไปกินตับตุ๊กแกแต่อย่างใดค่ะ ลักษณะสำคัญที่สังเกตได้: งูเขียวพระอินทร์เป็นงูบก มีลำตัวสีเขียวอ่อนสลับกับลายดำตลอดตัว งูชนิดนี้มีหัวที่ค่อนข้างกลม มีความว่องไวปราดเปรียว สามารถเลื้อยไต่ไปบนต้นไม้ได้อย่างคล่องแคล่ว มีใต้คางสีขาว ใต้ท้องสีเขียวหรือเหลืองอ่อนๆ ส่วนใต้หางจะมีลายดำเป็นจุดๆค่ะ3.งูทางมะพร้าวขอบคุณรูปภาพจาก: bbeertz /instagram งูทางมะพร้าว หรือที่นิยมเรียกกันว่า "งูเห่าม้า" ในทางภาคอีสาน งูชนิดนี้เป็นงูที่ไม่มีพิษค่ะ เราสามารถพบได้ทั่วไป ทั้งในป่าและบ้านเรือน อุปนิสัยตามธรรมชาติของงูทางมะพร้าวจะมีนิสัยก้าวร้าวหน่อยๆ ถ้าหากเขารู้สึกไม่ปลอดภัยเขาจะมีพฤติกรรมชูหัว พร้อมงอคอพับแล้วแผ่ขยายลำคอเป็นแนวตั้งขนานกับลำตัว ซึ่งนั้นก็เป็นสัญญาณการขู่ก่อนฉกกัดทุกครั้ง ในกรณีที่งูทางมะพร้าวรู้สึกว่าเขาไม่สามารถสู้ศัตรูได้ เขาจะมีพฤติกรรมน่ารักๆอย่างหนึ่ง คือแกล้งตาย การที่งูชนิดนี้แสดงพฤติกรรมการแกล้งตายก็เพราะว่าอยากจะทำให้ศัตรูหมดความสนใจตนเอง แล้วเขาก็จะใช้โอกาสเหล่านั้นหลบหนีไป ข้อดีอย่างหนึ่งของงูทางมะพร้าว คือเขาถือว่าเป็นตัวช่วยกำจัดหนูที่ดีสำหรับพื้นที่การเกษตรโดยเฉพาะเลยค่ะ ลักษณะสำคัญที่สังเกตได้: งูทางมะพร้าวจะมีลำตัวสีน้ำตาลอมเหลืองหรือสีน้ำตาลอมเทา มีลายเป็นทางยาวสีดำ 4 เส้นพาดจากส่วนคอแล้วค่อยๆจางไปทางกึ่งกลางลำตัว หัวของงูชนิดนี้จะมีลักษณะมนกลมสีน้ำตาลแดง และจะมีเส้นสีดำ 3 เส้นพาดแผ่เป็นรัศมีออกจากมุมตาค่ะ เป็นยังไงบ้างคะท่านผู้อ่าน จากที่ผู้เขียนได้อธิบายไว้ในข้างต้น จะเห็นได้ว่างูทั้ง 3 ชนิด เป็นงูที่ไม่อันตรายและไม่มีพิษร้ายแรงที่จะสามารถส่งผลต่อมนุษย์ได้เลย ถ้าหากผู้อ่านมีโอกาสได้พบเจองูทั้ง 3 ชนิดนี้ที่ไหน ผู้เขียนขอแนะนำให้ทุกท่านอย่าตกใจและอย่าไปทำร้ายเขานะคะ เพราะงูเหล่านี้นอกจากจะไม่มีพิษแล้ว ยังมีความสำคัญต่อระบบนิเวศมากๆ สำหรับวันนี้ ผู้เขียนก็ต้องขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านบทความนี้จนจบนะคะ ไว้พบกับเรื่องราวที่น่าสนใจเกี่ยวกับงูแบบนี้ได้ใหม่ในโอกาสหน้า ขอบคุณค่ะ^^ ทั้งนี้ต้องขอขอบคุณผู้ใช้ไอจี gez.official และ bbeertz มากๆนะคะ ที่ให้ความอนุเคราะห์ให้ผู้เขียนนำภาพมาใช้เป็นภาพประกอบบทความขอบคุณรูปภาพหน้าปกจาก Pixabay ค่ะ