ในปี 2561 กระแสจากละครโทรทัศน์ “บุพเพสันนิวาส” ที่ออกอากาศทางช่อง 3 เป็นกระแสที่คนทั่วไปพูดถึง โดยเฉพาะในสื่อออนไลน์ และก่อให้เกิดกระแสที่สืบเนื่องมาจากละครโทรทัศน์เรื่องนี้มากมาย ไม่ว่าจะเป็น คำเรียกแทนตัวเองของพระ-นางในเรื่อง “ออเจ้า-พี่หมื่น” ที่ถูกนำมาพูดถึง กระแสคนไทยหันกลับมาแต่งชุดไทย จนเกิดอีเว้นต์ต่าง ๆ มากมาย ซึ่งมักจะจัดในธีมย้อนยุคให้ผู้ที่เข้ามาร่วมงานได้ใส่ชุดไทยโบราณ รวมทั้งกระแสดังกล่าวยังโด่งดังข้ามน้ำข้ามทะเลไปยังต่างประเทศ อาทิเช่น ประเทศจีน ประเทศเกาหลี ประเทศเยอรมัน ฯลฯ จนเกิดการทำคลิ๊ปแชร์ต่าง ๆ มากมายที่เกี่ยวกับละครโทรทัศน์เรื่องนี้ หลังจากนั้น “รอมแพง” ผู้แต่งนวนิยาย ซึ่งได้ถูกนำมาทำละคร “บุพเพสันนิวาส” ก็โพสต์ใน Facebook ส่วนตัวว่ากำลังเขียนภาคต่อจากเรื่องบุพเพสันนิวาส…จากบุพเพสันนิวาส...สู่พรหมลิขิต นวนิยาย โดยรอมแพง เป็นอย่างไรบ้าง มาติดตามดูค่ะบุพเพสันนิวาส ก่อนอื่นขอเกริ่นเลยนะคะว่าผู้เขียนได้มีโอกาสอ่านหนังสือ เรื่อง “บุเพสันนิวาส” ซึ่งแต่งโดยรอมแพง มาก่อนที่จะถูกนำไปสร้างเป็นละครโทรทัศน์ ซึ่งในครั้งแรกที่อ่าน ก็ไม่ได้รู้จักนามปากกานี้สักเท่าไหร่ เพราะปกติชื่นชอบการอ่านนวนิยายจีนแปลมากกว่า แต่จะเรียกว่าพรหมลิขิตก็ได้เนื่องจากตอนที่ไปเลือกซื้อหนังสือสะดุดตากับขนาดและหน้าปกของหนังสือ และติดใจตรงคำสรุปสั้น ๆ หลังปกหนังสือในประโยคที่ว่า “เออเนาะเขามีแต่ข้ามภพมาเป็นนางเอก ตูดันข้ามมาเป็นนางร้ายซะงั้น เฮ้อ เครียดได้โล่!” แค่นี้จริง ๆ เลยตัดสินใจซื้อหนังสือเล่มนี้มาอ่าน และไม่ผิดหวังเลยจริง ๆ อ่านจนวางไม่ลงเลยทีเดียว สาเหตุที่อ่านหนังสือ “บุพเพสันนิวาส” จนวางไม่ลง ทั้งนี้เนื่องจากชอบในส่วนของการวางเค้าโครงเรื่อง ซึ่งผู้เขียนก็ไม่ได้มีความรู้ด้านประวัติศาสตร์สมัยกรุงศรีอยุธยาสักเท่าไหร่ แต่มีความรู้สึกว่าผู้แต่งวางเค้าโครงเรื่องได้อย่างเหมาะเจาะ ไม่ได้ดูเกินความเป็นจริงจนเกินไป เนื้อหาปูพื้นว่านางเอกเป็นนักศึกษาด้านโบราณคดี ซึ่งทำให้รู้สึกได้ว่า เพราะเป็นนักศึกษาและมีความรู้ด้านนี้ เมื่อหลงยุคเข้าไปจึงทราบได้ว่า ในช่วงใดของประวัติศาสตร์จะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น ซึ่งถ้าหากให้ผู้เขียนหลงเข้าไปก็คงจะงง ๆ และคงทำตัวไม่ถูกเหมือนกัน (ระหว่างอ่านก็จะมโนนิดนึงค่ะว่าเป็นนางเอก) ประกอบกับการวางโครงเรื่องสร้างความประหลาดใจให้กับผู้อ่านเนื่องจากบางเรื่องที่ผู้แต่ง ๆ ไว้ในนวนิยายเรื่องนี้ ในด้านสถานที่หรือโบราณวัตถุที่ขุดได้ก็มีความสอดคล้องกับหลักฐานที่พบอยู่ในปัจจุบัน อาทิเช่น เครื่องกรองน้ำสมัยโบราณ หรือวัดชีปะขาวหาย (วัดศรีสุดาราม)แม้ภายหลังผู้แต่งจะออกมาบอกเล่าภายหลังว่าเป็นความเหมาะเจาะระหว่างแต่งนวนิยายเรื่องนี้จริง ๆ เนื้อหาไม่ได้เป็นไปตามประวัติศาสตร์สักทีเดียว แต่ก็นับว่าผู้แต่งได้ทำการบ้านมาเป็นอย่างดีในขณะที่แต่งนวนิยายเรื่องนี้ ซึ่งจุดนี้เองที่ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมนวนิยาย “บุพเพสันนิวาส” เมื่อนำมาทำเป็นละครโทรทัศน์จึงได้รับความนิยม จนทางทีมงานผู้จัด (บริษัท บรอดคาซท์ ไทย เทเลวิชั่น จำกัด) ได้มอบหมายให้ผู้แต่ง ๆ ภาคต่อไปของ “บุพเพสันนิวาส” รวมทั้งมีข่าวว่าจะสร้างออกมาเป็นละครโทรทัศน์อีกพรหมลิขิต และแล้วนวนิยาย “พรหมลิขิต” โดยรอมแพง ก็วางแผง ในช่วงแรกที่หนังสือออกสู่ตลาด เนื่องจากกระแส “บุพเพสันนิวาส” ยังไม่จางหาย กว่าจะหาซื้อนวนิยายเรื่องนี้ได้ต้องจองกันทีเดียว จะเรียกว่าภาคต่อจาก “บุพเพสันนิวาส” ก็ไม่ซะทีเดียว เนื่องจากในเรื่องนี้ พระ-นาง เป็นอีกคู่ คือรุ่นลูกของพระ-นาง ในเรื่อง “บุพเพสันนิวาส” สามารถแยกอ่านได้ แต่หากอ่าน บุพเพสันนิวาสมาก่อน ก็จะยิ่งทำให้เข้าใจเนื้อหาในเรื่อง พรหมลิขิตมากขึ้น ขอสรุปสั้น ๆ ในส่วนของพรหมลิขิตนะคะ เอาแบบไม่สปอยมาก ที่เหลือให้ไปติดตามอ่านเอากันเองได้จากนวนิยาย “พรหมลิขิต” นะคะ นั่นคือ ในเรื่องนี้จะไม่ได้เล่าเรื่องแบบประวัติศาสตร์จ๋า เหมือนกับ “บุพเพสันนิวาส” เนื่องจากนางเอกของเรื่องไม่ได้จบมาทางด้านนี้ แต่จบด้านการเกษตร ซึ่งก็นับว่าวางเค้าโครงเรื่องได้มีเหตุมีผล และเพราะข้ามยุคมาไม่ได้เป็นเจ้าขุนมูลนายจึงต้องใช้ความรู้ในด้านนี้หาเลี้ยงชีพ ส่วนเค้าโครงเรื่องหลัก ๆ จะเน้นการคลี่คลายปมต่อเนื่องจาก บุพเพสันนิวาส ว่าทำไมนางเอกจึงต้องสลับวิญญาณกัน ระหว่างเกศสุรางค์กับการะเกด และทำไมแต่ละคนที่พบเจอกันในเรื่องถึงได้มาเจอกัน คล้าย ๆ กับคำกล่าวที่เรามักได้ยินอยู่บ่อย ๆ ว่า “การที่เรามาเจอกันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ล้วนแล้วแต่เคยทำบุญ ทำกรรม กันมาก่อน” เป็นยังไงบ้างคะ จากบุพเพสันนิวาส…สู่พรหมลิขิต นวนิยาย โดยรอมแพง ในความรู้สึกของผู้เขียน มีทั้งส่วนที่เหมือน และส่วนที่ต่างกัน ส่วนที่เหมือน ก็ได้แก่ยังคงพบเห็นตัวละครจากเรื่อง “บุพเพสันนิวาส” ในเรื่อง “พรหมลิขิต” อย่างแน่นอน และนวนิยายก็เป็นยุคที่เล่าต่อเนื่องกันมา ส่วนที่ต่าง ก็ได้แก่ ให้ความรู้สึกของเนื้อหาแตกต่างจากเรื่องแรกอย่างสิ้นเชิง ถ้าเปรียบเป็นประเภทของหนังสือ “บุพเพสันนิวาส” เป็นนวนิยาย กึ่ง ๆ ประวัติศาสตร์ ส่วน “พรหมลิขิต” เป็นนวนิยาย กึ่ง ๆ สอดแทรกเรื่องบาป-บุญ คุณ-โทษ แต่นั่นก็เป็นเพียงความรู้สึกของผู้เขียน ส่วนนวนิยายเรื่อง "พรหมลิขิต" ถ้าหากนำมาทำเป็นละครโทรทัศน์ นวนิยายเรื่องนี้ จะปัง! หรือไม่ปัง! ก็ต้องลุ้นกันต่อไปค่ะ ติดตามบทความของผู้เขียนได้ที่https://www.facebook.com/MKimagine-112372353614803