สวัสดีค่าาา ขออนุญาตเกริ่นนำก่อนว่าบทความนี้ถูกเขียนขึ้นมาด้วยความคิดถึงของเราล้วนๆ จากประสบการ์ณที่ได้ไปเรียนแลกเปลี่ยนที่ประเทศ เอสโตเนีย เป็นเวลาห้าเดือนกว่าเมื่อต้นปี 2019 ที่ผ่านมา เพราะฉะนั้นบทความนี้เหมือนไดอารี่ที่เราอยากบันทึกความทรงจำดีๆตอนที่เราได้ใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น ซึ่งเนื้อหาไม่สามารถเขียนในบทความเดียวให้จบ จึงขอแบ่งพาร์ทในแต่ละช่วงของเราให้ทุกคนได้ชมกันนะคะ 😀 โดยเนื้อหาของบทความไม่ได้อัดแน่นไปด้วยสาระแต่เราจะมาแบ่งประสบการณ์ที่ได้ไปยังสถานที่ต่างๆ หากผิดพลาดประการใด ติชมได้แต่อย่ารุนแรงมากนะคะเราบอบบาง ♥ ก่อนอื่นเรามารู้จักประเทศเอสโตเนียกันคร่าวๆก่อนว่าประเทศนี้ตั้งอยู่ที่ยุโรปตอนเหนือ มีเมืองหลวงชื่อว่า Tallinn (อ่านว่า ทารลินน์) หรือพูดให้เข้าใจง่ายๆประเทศนี้อยู่ใกล้กับประเทศฟินแลนด์ รัซเชีย ลัตเวีย ประมาณนี้ค่ะ มาขึ้นเครื่องไปเอสโตเนียกันนน 😀 เราได้ไฟลท์บินเช้าจากกรุงเทพ ถึง ทาลลินน์ ตอนสามทุ่ม(เวลาที่เอสโตเนีย)ค่ะ โดยต้องไปเปลี่ยนเครื่องที่ฟินแลนด์ก่อน จากนั้นใช้เวลาสามสิบนาทีก็ถึงสนามบินที่ทาลินน์ค่ะ ตอนนั้นเราเดือนทางช่วงกลางมกราค่ะ ช่วงต้นปีสภาพอากาศที่เอสยังติดลบมากกว่าสิบองศาอยู่เลย (สั่นไปทั้งตัว TT) เพราะทันทีที่เครื่องบินเข้าโซนยุโรปตอนเหนือปุ๊บ สามารถสังเกตเกล็ดหิมะกาะคอบหน้าต่างเครื่องบินได้อย่างชัดเจน อีกอย่างเป็นประสบการ์ณการเดินทางออกนอกประเทศฝั่งยุโรปครั้งแรกของเราด้วยเลยต้องเตรียมพร้อมในการลุยหิมะให้ครบฮูเล่! ตัดภาพมาเช้าวันใหม่หลังจากถึงหอพักพร้อมอากาศ -17 องศา ขออนุญาตข้ามภาพจากแอร์พอร์ตทั้งสองที่เพราะตอนลงจากเครื่องคือหนาวและเบลอมาก 555 เครื่องก็กลัวตก รีบเดินจ้ำอย่างไวเลยค้าบหลังจากผ่านตม. และถึงหอพักโดยสวัสดิภาพเวลาสามทุ่มกว่าได้ค่าแต่เราไม่ได้ถ่ายสภาพห้องหรือหอไว้เลย(อยากตีตัวเอง) เช้านี้มีแพลนกับน้องที่เดินทางมาด้วยกันว่าเราจะไปหาซื้อซิมโทรศัพท์ เนื่องจากที่หอพักมีไวไฟฟรีเราเลยใช้หาช้อปหรือห้างใกล้ๆในการซื้อซิมค่ะ (ที่ไม่ได้ซื้อซิมจากสนามบินตั้งแต่ตอนแรกที่ถึงเพราะราคาค่อนข้างสูง เลยตัดสินใจกับน้องว่าเราค่อยไปหาซื้อกันในวันถัดไป) และเมื่อหาแหล่งได้แล้วก็ปั้นตัวเองเป็นมนุษย์หิมะออกไปข้างนอกกันน แน่นอนว่าลองจอนกับเสื้อหนาวสองชั้นมันไม่พอ ผ้าพันคอ หมวก ถุงมือมาหมด 5555 ตรงนี้เป็นสวนสาธารณะใกล้หอค่ะ เรากับน้องเลือกที่จะแคปจอในแมพแล้วเดินกันไป จริงๆมีรถราง (Tram) หน้าทางเข้าหอเรานะ แต่ด้วยความที่เรายังไม่มีบัตร Green card* ที่ใช้สำหรับระบบขนส่งของที่นั่นจึงเลือกเดินไปก่อน ฝ่าหิมะกันไปจ้า 5555 Green card* = อยากบอกว่าเราชอบระบบการขนส่งของที่นี่มาก ด้วยความที่ประเทศเอสโตเนียอนุญาตให้ประชาชนของเขาขึ้นรถขนส่งได้ฟรี ส่วนคนนอกประเทศอย่างเรา ถ้าถือบัตรกรีนการ์ดไว้ก็สะดวกสบายมากๆ เพราะบัตรนี้สามารถใช้ร่วมได้ทั้งรถราง(Tram) และรถเมล์ โดยเราสามารถเลือกเติมเงินแบบรายเดือนหรือรายวันได้ โดยเราเลือกแบบรายเดือนอยู่ที่ประมาณ 24 ยูโร ค่ะ จะขึ้นกี่รอบต่อวันก็ขึ้นกันให้สนุกไปเล้ย ชมวิวระหว่างทางแดดก็เหมือนจะเริ่มมาแล้วว หิมะปกคุลมทุกอาคารดูซอฟนุ่มนิ่มไปหมดเลย 😍 สำหรับเราก็ตื่นเต้นนะ เป็นครั้งแรกที่เจอหิมะจริงๆแบบไม่ได้อยู่ในถ้วยบิงซู (พ้าม) แต่เวลาลมพัดมาก็สั่นกันไปข้างเลยทีเดียว ไม่มีที่หลบด้วย 5555 โชคดีที่ระหว่างเดินไปหิมะยังไม่ตก น้องเลยขอลองเล่นหิมะแป๊บนึง และนี่คือภาพขอแวะเล่นหิมะหน่อยค้าบ แฮ่ แอบบอกน้องไปแล้วว่าเราขอลงรูปหน่อยนะ 5555 อากาศในภาพเหมือนไม่หนาวแต่จริงๆคืออยู่ที่ -15 ถึง -17 องศาได้ ทางเราที่รบบทช่างถ่ายภาพมือก็สั่นไปหมดเลยค้าบ และจบที่วันนั้นเราก็ไปซื้อซิมที่ห้าง Viru (ไม่ได้ถ่ายรูปไว้อีกแล้ว TT) จากนั้นจึงเดินกลับหอทางเดิม ซึ่งหิมะก็เริ่มโปรยแล้วเบาๆ ความไม่อยากหนาวกว่านี้เลยรีบจ้ำกลับห้องแล้วไปศึกษาวิธีเติมเงินเข้าซิมต่อ ที่พีคคือเดือนถัดไปที่เราต้องเติมเงินเลยเลือกไปหาซื้อในซุปเปอร์ใกล้หอ ปรากฏว่ามีขายทั้งซิมและสลิปเติมเงิน แงง จากนั้นหันไปทำหน้าเบ้กับน้องอย่างเข้าใจกันและกัน ว่าวันนั้นจะลุยหิมะไปทำไม 5555 และสำหรับพาร์ทแรกของเอสโตเนียนี้ ปาแปงกี้ขอจบด้วยการเดินทางและแนะนำสถานที่ใกล้หอที่ปกคลุมไปด้วยหิมะฟูๆนะค้าบ ครั้งหน้าเราจะมาแนะนำมหาวิทยาลัยที่เรามาเรียนแลกเปลี่ยนและการต้อนรับของมหาลัยที่ชานเมือง อยากให้บทความนี้เข้ามาอ่านช่วยคลายเครียด อ่านกันเพลินๆไปน้า see ya♥ ภาพปก : Papanggy เนื้อหาและรูปภาพในบทความ : Papanggy