ตามปกติปัสสาวะของคนทั่วไปจะมีสีเหลือง อาจจะเข้ม หรืออ่อน ขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำที่ทาน ซึ่งในปัสสาวะของเราจะมีเม็ดเลือดออกปะปนออกมาด้วย โดยจะออกมาในปริมาณที่พอเหมาะทำให้ ปัสสาวะเป็นสีปกติคือสีเหลือง ( ไม่แดง ) เเต่ถ้าปัสสาวะของเรามีเม็ดเลือดแดงมากเกินไป ทำให้สีของปัสสาวะเปลี่ยนเป็นสีแดง เสี่ยงต่อการเป็นโรคต่าง ๆ เช่น กระเพาะปัสสาวะอักเสบ การติดเชื้อในท่อปัสสาวะ นิ่ว ต่อมลูกหมากโต ต่อมลูกหมากอักเสบ มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งไต ท่อไต เป็นต้น รูปภาพโดย qimono จาก pixabay มีวิธีสังเกตง่ายๆด้วยตัวเอง โดยการสังเกตปัสสาวะว่าเป็นสีแดงในช่วงไหนเวลาปัสสาวะ ก็พอจะทำให้รู้สาเหตุของโรคได้ 1. ถ้ามีหยดเลือด หรือมีเลือดซึมออกมาขณะเริ่มปัสสาวะ ( มีเลือดเเค่ช่วงเเรกของปัสสาวะ ) - โดยมากจะเกิดจากท่อปัสสาวะเป็นแผล หรือฉีกขาด จะเจ็บปวดมากเวลาปัสสาวะ หรืออาจจะเกิดการติดเชื้อรุนเเรงของท่อปัสสาวะ ซึ่งมักจะมีหนองร่วมด้วย มีน้ำหนองไหลเลอะกางเกงใน ควรไปพบเเพทย์เพื่อวินิจฉัย เพื่อทำการรักษาต่อไป 2. มีเลือดเเค่ในช่วงท้ายของปัสสาวะ - เลือดอาจจะเกิดจากกระเพาะปัสสาวะ นิ่ว หรือเนื้องอกในกระเพาะปัสสาวะ ( นิ่วจะมีอาการปัสสาวะไม่ออก จะมีกรวด ทราย หรือนิ่วเม็ดเล็ก ๆ หลุดออกมา ส่วนเนื้องอกจะไม่ปวดท้อง ) กระเพาะปัสสาวะอักเสบ มะเร็งในกระเพาะปัสสาวะ ต่อมลูกหมากโต มะเร็งต่อมลูกหมาก อาจจะมีอาการปวด ไข้ น้ำหนักลด ปัสสาวะเเสบ ปัสสาวะลำบาก รูปภาพโดย nastya_gepp จาก pixabay 3. เลือดออกตลอดระยะการถ่ายปัสสาวะ - เกิดจากภาวะเลือดออกในไต กรวยไต หรือ กระเพาะปัสสาวะ นิ่วหรือเนื้องอกในไต 4. สีปัสสาวะเป็นสีคล้ายน้ำล้างเนื้อ - เป็นสีแดงระเรื่อ ไม่ใช่สีแดงเข้ม ถ้าปัสสาวะใส่ถ้วยเเละตั้งทิ้งไว้หลายชั่วโมง ถ้ามีตะกอนสีแดงนอนก้น เกิดจากเนื้อไตอักเสบ มีอาการบวมหน้า บวมเท้า ความดันเลือดสูง ควรนำปัสสาวะไปตรวจว่าเป็นโรคไตอักเสบชนิดใด 5. ปัสสาวะมีสีน้ำตาลดำ -เกิดจากการสลายตัวของเม็ดเลือดแดง หรือกล้ามเนื้อลายในร่างกาย วิธีตรวจสอบข้างต้นเป็นเพียงเช็คเบื้องต้นเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ไม่ควรนิ่งนอนใจ ควรไปพบเเพทย์ให้เร็วที่สุด เพื่อรับการรักษาต่อไป เเพทย์จะทำการซักประวัติ ตรวจร่างกายอย่างละเอียด ตรวจปัสสาวะด้วยกล้องจุลทรรศน์ การถ่ายภาพเอกซเรย์ไต การอัลตร้าซาวด์ การเอกซเรย์การฉีดสี การเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ การส่องกล้องระบบทางเดินปัสสาวะ เพื่อแยกโรคได้ การรักษานั้นขึ้นอยู่กับโรค หากเกิดจากการติดเชื้อจะรักษาโดยการใช้ยาปฏิชีวนะ หากเป็นนิ่วในทางเดินปัสสาวะ นิ่วในไต จะมีอาการปวดท้องซ้าย หรือขวา จะปวดตื้อ ๆ บริเวณชายโครง อาการจะไม่รุนแรงมาก หากนิ่วมีขนาดไม่เกิน 5 มิลลิเมตร มีโอการที่นิ่วจะหลุดออกมาเองได้ เเนะนำให้ดื่มน้ำมากๆ ร่วมด้วยการใช้ยาละลายนิ่ว แต่ถ้าเป็นนิ่วขนาดใหญ่ จะต้องใช้วิธีผ่าตัด มีทั้งการผ่าตัดส่องกล้อง หรือการผ่าตัดแผลเปิด นิ่วในท่อไต เนื่องจากท่อไตมีขนาดเล็ก ประมาณ 3 มิลลิเมตร จะมีอาการปวดท้องรุนแรงจนตัวงอ ปัสสาวะกระปริบกระปอย โดยอาการจะขึ้นอยู่กับขนาด ตำแหน่ง และระยะเวลาของการเกิดนิ่ว รักษาได้โดยการทานยาสลายนิ่ว และการผ่าตัด หากเป็นโรคมะเร็ง การรักษาขึ้นอยู่กับระยะของโรค และความรุนแรงของโรค หากตรวจอย่างละเอียดแล้วไม่พบความผิดปกติใด ๆ ในร่างกาย ก็ให้ติดตามเฝ้าระวังเป็นระยะ ๆ ต่อไป รูปภาพโดย stevepb จาก pixabay หมายเหตุ : ปัจจุบันมีการปนเปื้อนของสีผสมอาหารในอาหาร ขนม หรือยาบางชนิด ถ้าเกิดรับประทานอาหารที่มีสีแดงมากเกินไป ก็อาจจะทำให้ปัสสาวะออกมาเป็นสีแดงได้ อาจจะเป็นสีแดงส้ม แดงอ่อน ๆ ให้ลองหยุดทาน มักจะหายไปใน 1-3 วัน