ทักทายนะทุกคน บทความนี้จะชวนทุกคนมาคิดตามสิ่งที่ภาพยนตร์ได้ถ่ายทอดออกมากับความจริงที่เกิดขึ้นบนโลกของเรากันหน่อย และนี่เป็นตอนแรกของเรากับภาพยนตร์ที่มีชื่อเรื่องว่า "Snowpiercer" ยึดด่วน วันสิ้นโลก ภาพยนตร์ที่ถูกถ่ายทอดขึ้นมาตั้งแต่ปี 2013 เลยนะนี่เวลาก็ล่วงเลยมาถึง 7 ปีแล้ว ค่อนข้างนานเลยแหละใครยังไม่เคยดูไปหาดูก่อนนะในบทความนี้อาจจะมีการ Spoil เนื้อหาหลายส่วนของภาพยนตร์ช่วงนี้เป็นช่วงที่มีการระบาดของ Covid-19 ก็เดาว่าหลายคนคงลุกนั่ง ๆ นอนนอน กลิ้งไปกลิ้งมาอยู่ในห้อง เราก็เป็นหนึ่งในนั้น พอดีเราได้มีโอกาสเห็นรูปตามสื่อสังคมออน์ไลน์ต่าง ๆ ไปสะดุดตามเข้ากับรูปหนึ่งเข้ามันเป็นรูปที่ถ่ายจากมุมสูงของเมืองตึกไหนซักตึกในกรุงเทพ รูปถ่ายถูกนำมาเรียงต่อกันต่อแต่วันแรก ,วันที่ 8 , และวันที่ 43 เป็นเวลานานกว่า 43 วันผมเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงในภาพ ท้องฟ้า สภาพอากาศ เมือง ผู้คน รถรา หลายอย่างเปลี่ยนไปในทิศทางที่ไม่คิดว่าจะเกิดได้กับในกรุงเทพฯ อีกแล้ว เลยทำให้คิดถึงภาพยนต์เก่าในดวงใจเรื่องนี้ขึ้นมาเนื้อเรื่องแบบย่อ ๆ เลยนะ เกิดวิกฤตภาวะโลกร้อนขั้นรุนแรงขึ้นมีคนอยู่กลุ่มหนึ่งพยายามหาทางแก้ไขปัญหานี้ อีกกลุ่มหนึ่งก็ออกมาต่อต้านและในที่สุดก็ได้สารที่มีชื่อว่า CW-7 ขึ้นมาทำการยิงขึ้นฟ้า ตู๊มมม!!! แล้วโลกก็กลายเป็นน้ำแข็ง ผู้คนบนโลกตายเกลี้ยงเกือบหมด เเละเรื่องราวก็เริ่มขึ้นบนรถไฟหลังการปล่อยสาร CW-7 แล้ว 17 ปีที่มีคนกลุ่มหนึ่งใช้ชีวิตอยู่บนรถไฟตัวเอกของเรา แน่นอนต้องอยู่ท้ายขบวนมันถึงจะมันส์ พวกท้ายขบวนมีแนวคิดที่จะบุกไปด้านหน้าขบวน มีการวางแผนเตรียมการที่จะบุกไปที่หน้าขบวนให้ได้เพื่อไปพบใครคนนึงที่คุมหัวรถจักรอยู่ และเรื่องราวสุดชุลมุนวุ่นวายก็เริ่มขึ้นในรถไฟขบวนนี้ชวนคิดภาวะโลกร้อน เอาเข้าจริงเราได้ยินคำนี้เข้ามาในหัวตั้งแต่เมื่อไหร่จำไม่ได้เหมือนกันแต่รู้สึกว่านานแล้วนะ นานมาก ๆ ก่อนที่หนังเรื่องนี้จะออกมาถ่ายทอดเมื่อ 7 ปีที่แล้วแต่เชื่อเถอะ ได้ยินมานานกว่านั้นเป็น 10 กว่าปีเลยล่ะ....ทำไมทั้งที่นี่ก็เป็นปัญหาที่ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเรียกว่าปัญหาใหญ่ ระดับโลกได้มั้ย แต่ที่รู้ ๆ คือมันกินระยะเวลามานานมากแล้วพอสมควร แม้ว่าหลายประเทศจะออกมาทำสัญญาเพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องนี้กันแต่มันก็ไม่ได้รู้สึกว่าลดลงไปเลย และแน่นอนว่ามีทั้งกลุ่มคนที่รับรู้ได้ถึงปัญหานี้โดยเฉพาะประเทศไทยเรานี่ รับรู้เต็มๆเลยแหละ และก็มีคนที่ไม่รับไม่รู้ถึงปัญหานี้เเละไม่เชื่อว่าโลกนี้ร้อนเช่นกัน เราก็ไม่รู้ว่าปัญหานี้มันจะดีขึ้นบ้างมากน้อยแค่ไหนแต่ถ้าทุกคนช่วยกันก็น่าคิดเหมือนกันนะความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลง สืบเนื่องมาจากในหัวข้อด้านบนในแง่ของความพยายามที่จะแก้ไขปัญหาอาจทำให้เจอกับปัญหาใหม่อันนี้เรารู้สึกว่าเป็น สัจธรรม มาก ๆ เลย แต่ในเมื่อพยายามแล้วเนี่ยมันต้องเปลี่ยนอะไรได้บ้างแล้วล่ะ ค่อยว่ากัน เรามาคุยกันถึงตัวเอกเราดีกว่า พ่อหนุ่มสวมหมวกไหมพรมสีดำจากรูปข้างบนนี้นะพระเอกของเราเขาพยายามที่จะบุกไปข้างหน้าเรียกวาเป็นแม่ทัพเลยก็ว่าได้ ถ้าเราลองนึกถึงตัวเราเอง เราเองพยายามเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง และเราเองขอบอกเลยว่าถ้ายังนึกไม่ออกคุณแค่ต้องลงมือทำลองทำอะไรก็ได้อยากทำอะไรก็ทำถ้าคิดว่าสิ่งนั้นเป็นประโยชน์กับตัวเราทางใดทางหนึ่งแน่ ๆ ขอให้คุณทำ และอย่าได้กลัวปัญหาที่จะตามมา(จริงๆกลัวๆไว้บ้างก็ดีนะ เป็นห่วง ^^)ลำดับชนชั้น เนื้อหาในภาพยนตร์ทำให้เราเห็นชัดว่าลำดับชนชั้นภายในรถไฟขบวนนี้แรงจริงๆ ส่วนหัวขบวนเรียกว่าดีแบบดีมากแต่ส่วนท้ายเรียกว่าดิ่งแบบสุดๆเลยก็ว่าได้ ฉากนี้คุณป้าผู้หญิงเสื้อขาวที่กำลังโดนล่ามโซ่อยู่นี่เป็นรัฐมนตรีของรถไฟขบวนนี้ออกมาพูดกับคนที่ท้ายขบวนมีใจความว่า(วงเล็บแอบไปหาจดมานิดหนึ่งนะ) "บนหัวรถจักรที่เราเรียกว่าบ้าน มีเพียงสิ่งเดียวที่กั้นระหว่างหัวใจอุ่นๆ กับความหนาวเย็น..เสื้อผ้าหรอ? เกราะป้องกัน? ระเบียยบ ระเบียบคือเครื่องขวางกั้นที่ต้านทานความตายจากความหนาว...พวกเราทุกคนบนรถไฟสายชีวิตนี้ ต้องรู้จักอยู่ในตำแหน่งที่ถูกกำหนดพวกเราแต่ละคนต่างได้ครอบครองตำแหน่งที่ถูกบัญญัติเอาไว้ล่วงหน้า...รองเท้าไม่ได้ใส่บนหัว รองเท้าต้องใส่ไว้ที่เท้า หมวกสิถึงใส่ไว้ที่หัว ฉันคือหมวกพวกนายคือรองเท้า..." โอ้โหถ้าเราเป็นคนที่อยู่ท้ายขบวนขึ้นมาจริงๆในตอนนั้นที่ผ่านมา 17 ปีกับที่ๆต้องอยู่ตรงนั้น เจอบทพูดนี้เข้าไปต้องมีเคลิ้มบ้างล่ะ ในบทพูดนี้พูดออกมาค่อนข้างชัดในอารมณ์ที่เราเข้าใจ ประมาณว่า อย่าต่อต้านเลย พวกนายมันพวกไร้ระเบียบ ฉันกับพวกนายอยู่คนละชั้นกัน ถึงแม้ในชีวิตจริงจะไม่มีใครหน้าไหนออกมาพูดแบบนี้ใส่แต่เอาเข้าจริงเราว่านะ ความเท่าเทียมจริงๆในโลกนี้น่ะ เป็นไปได้ยากอยู่นะการปฎิวัติ โอเคเข้าสู่โหมดความชุลมุลวุ่นวายภายในเรื่องเป้าประสงค์หลักของกลุ่มท้ายขบวนคือพยายามที่จะปฎิวัติโดยการบุกฝ่าขึ้นไปให้ถึงด้านหัวรถจักรนี้เพื่ออะไรบางอย่างในเนื้อเรื่องก็พอจะบอกว่า บุกไปด้วยเหตุผลอะไร แต่เราลองมาคิดดูแล้วจำแนกได้ประมาณ 2 หัวข้อประมาณนี้คือ ความอยาก/โหยหา และความทรงจำความอยาก/โหยหา : แน่นอนทุกคนมีความอยาก ภายในเรื่องกลุ่มท้ายขบวนอยากที่จะมีชีวิตที่ดีกว่า อยากที่จะไม่โดนข่มเหง อยากได้ลูกตัวเองคืน อยากกินนู่นอยากกินนี่อยากกินของที่ดีกว่านี้บ้าง หัวข้อนี้เราคิดว่าตรงมากๆในโลกการดำรงชีวิตในปัจจุบัน อยากที่จะกิน อยากที่จะเที่ยว อยากรวย หรือแม้กระทั่งเราเชื่อว่าทุกคนก็อยากมีชีวิตที่ดีขึ้นเช่นเดียวกับในเนื้อหาของภาพยนตร์นี้ความทรงจำ : ทำไมความทรงจำทำให้เกิดการปฎิวัติกรณีนี้ใช้ได้กับคนที่มีอายุเกิน 17 ปีขึ้นไป(เอาเป็นว่าตีกลมๆนะ) เรื่องราวที่เริ่มขึ้นรถไฟมาถึงตอนนี้อายุรวม 17 ปีแปลว่าคนที่อายุต่ำกว่านี้ไม่เคยเห็นโลกภายนอกเลยเห็นแค่เพียงน้ำแข็งและหิมะที่ปกคลุมไปทั่วโลก อาหารก็ไม่เคยได้สัมผัสกับรสชาติที่มาจากพื้นโลกได้เพียงแต่อาหารที่ในรถไฟขบวนนี้จัดหาให้เท่านั้น ทำให้เราคิดว่าถ้าไม่มีความทรงจำอย่างอื่นเลยนอกจากรถไฟขบวนนี้และท้ายขบวนนี้ก็ไม่ต้องอยากที่จะบุกขึ้นไป แต่แน่นอนคนส่วนใหญ่ที่ขึ้นมาก็ต้องมีอายุเกิน 17 และถึงแม้จะมีความทรงจำที่เลือนลางใน 17 ปีแต่ก็ยังจำได้และอยากจะได้บางสิ่งบางอย่างอยู่ ในหัวข้อนี้ทำให้เราคิดว่าบางที การปล่อยวางละทิ้งเรื่องบางอย่างก็ดีเหมือนกันนะ อยู่กับปัจจุบัน มีสติ และรู้ตัวเองว่าเราทำอะไรอยู่ ฝากไว้ให้ คิดตามกันค่าของวัตถุ สิ่งของ ต้องบอกว่าคนเขียนบทเก่งเลยก็ว่าได้ ที่ทำให้เราอึ้งกับสิ่งของมีค่าที่เขาหยิบเข้ามาใส่ในเรื่อง ตามภาพที่เห็นเลยทุกคนมันคือ "บุหรี่" โอ้โหตอนเราเห็นทีแรกก็รู้สึกว่านี่แหละตัวแทนของความอบอุ่น ตัวแทนของไฟ ที่ยังคงเหลืออยู่ ไม่รู้สิลองมาคิดๆดูถ้าคนเขียนบทดันหยิบมาม่า ปลากระป๋อง เงิน หรืออะไรก็ตามเข้าไปมันถึงจะอยู่มาได้ 17 ปีเราก็รู้สึกว่าจะไม่อึ้งเท่ากับบุหรี่ทั้งๆที่ไม่สูบแต่ทำไมถึงอึ้งขนาดนี้....เอาล่ะ แล้วถ้าในชีวิตจริงตอนนี้เงินไม่ได้มีค่า ทองไม่ได้มีน้ำหนักแล้ว เราจะยังเก็บมันไว้รึเปล่า ถ้าเปลี่ยนเป็น ดิน หิน หรือใบไม้ โลกนี้จะเป็นยังไงสิ่งอำนวยความสะดวก อาหาร และสมดุล(ในอนาคต) สิ่งอำนวยความสะดวกที่จะพูดถึงในบทนี้คือ "น้ำ" เออจริงสิ อยู่บนรถไฟ 17 ปีเอาน้ำไหนใช้ปรากฎว่าคุณคนเขียนบทนำมาเล่าผ่านตัวละครใดซักตัวเราจำไม่ได้เหมือนกัน แต่มีใจความประมาณว่า รถจักรนี้พุ่งชนน้ำแข็งและนำน้ำที่ได้มาใช้ตั้งแต่หัวขบวนส่งต่อผ่านการใช้มาเรื่อยๆจนถึงท้ายขบวน เราฟังครั้งแรกก็นิ่งๆไปพักหนึ่ง จำได้ว่าตัวเอกของเราพ่อหนุ่มสวมหมวกไหมพรมก็นิ่งไปพักหนึ่งเหมือกัน ก่อนตัวเราเองจะสะดุ้งและคิดว่าเอ๊ะนี่มันคุ้นๆนะ อ้อ!!! นี่มัน แนวคิดแบบ"Zerowaste" ชัดๆการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าโดยปราศจากของเสียน้อยที่สุดจะบ้า คุณคนเขียนบทคิดได้อีกแล้ว สารภาพตามตรง 7 ปีที่แล้ว 2013 เรายังไม่รู้เรื่องนี้ แต่พอได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับเรื่องแนวคิดนี้เราคิดว่าเป็นแนวคิดที่เวิร์คมากเลยนะประหยัดทรัพยากร ไม่ใช้ทิ้งใช้ขว้าง (หูยท่องมาตั้งแต่เด็กก่อนกินข้าว ....อย่ากินทิ้งขว้างเป็นของมีค่า ผู้คนอดอยากมีมากหนักหนา สงสารบรรดาเด็กตาดำๆ) เก่ามากไม่รู้เดี๋ยวนี้ต้องท่องกันอยู่มั้ยประเด็นถัดมา อาหาร ในอนาคตหน้าตาอาหารจะเป็นยังไงนะจะยังมีอาหารแบบนี้ให้เราได้กินรึเปล่า ในตอนนี้โลกเราก็คิดเรื่องนี้กันมาสักพักเกี่ยวกับแนวทางของอาหารในอนาคต "แมลง" เห็นหรือได้ยินมาไม่ผิดนะ แมลงแน่ ๆ แมลงมีโปรตีน และมีจำนวนมากเพาะพันธุ์แพร่หลายได้อย่างรวดเร็วอีกทั้งโปรตีนในแมลงยังสามารถนำมาทำอาหารและเพียงพอต่อความต้องการของมนุษย์ ภายในเรื่องก็ใช้แมลงสาบ เช่นเดียวกัน แมลงสาบเรียกได้ว่าเป็นแมลงดึกดำบรรพ์ที่มีมากว่า 300 ล้านปีก่อนและอยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้ก็ยังมีแมลงสาบมาคอยกวนใจเราอยู่ ในเรื่องใช้แมลงสาบมาบดทำเป็นก้อนโปรตีนลักษณะคล้ายวุ้นก้อนสีดำ และนี่คือสิ่งที่คนท้ายขบวนกิน ส่วนหัวขบวนมีการเลี้ยงสัตว์เพาะพันธุ์ปลา คำถามคือถึงจะเลี้ยงสัตว์เพาะพันธุ์ปลาบนรถไฟนี้แต่มันพอหรือ ซึ่งบทพูดของรัฐมนตรีในเรื่องตอบเราชัดเจนว่า "คำว่าพอไม่ใช่บรรทัดฐาน แต่เป็น ดุลยภาพ"การศึกษา หรือ การหล่อหลอม จะว่าเป็นคนละอย่างก็ไม่เชิง เป็นอย่างเดียวกันก็ไม่ใช่ ทำไมล่ะ? ในเนื้อหาของภาพยนตร์ได้มีการแสดงเนื้อเรื่องตอนพวกท้ายขบวนค่อย ๆ บุกไปยังหัวขบวนโดยมีตู้หนึ่ง ที่ต้องผ่านเป็นตู้ที่ใช้สำหรับเป็นห้องเรียนเด็ก ครูที่สอนพยายามหล่อหลอมให้พวกเด็ก ๆ ว่าที่นี่คือทุกอย่าง พวกท้ายขบวนคือพวกไม่ดีและมีประโยคหนึ่งในเรื่องที่เราจะยกมาให้ดูเพื่อให้เห็นภาพการศึกษาภายในรถไฟขบวนนี้ มีใจความว่า "เครื่องจักรคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และวิลฟอร์ดคือพระเจ้า"(วิลฟอร์ด ในที่นี้คือชื่อคนที่คุมหัวรถจักรนี้อยู่) กระทั่งมีการสอนถึงประวัติศาสตร์ของการปฏิวัติจากพวกท้ายขบบวนว่ามีเหตุการณ์ครั้งไหนบ้าง เรียกว่าหล่อหลอมกันตั้งแต่ยังเด็กเลย เอาเข้าจริงพอมาคิด ๆ ดูพวกเราเองในประเทศไทยก็ถูกหล่อหลอมมาเหมือนกันผ่านการศึกษาในวิชาต่าง ๆ หรือหล่อหลอมจากสถาบันครอบครัว สถาบันเพื่อน เช่นการหล่อหลอมให้เราเป็นคนดีปฏิบัติดี หล่อหลอมเราจากประวัติศาสตร์ในเรื่องในบ้านเราก็ทำกัน สุดท้ายแล้วจึงไม่แปลกที่ในเนื้อหาของภาพยนตร์จะมีบทของห้องเรียนโผล่มาให้เราได้ชม ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาหรือหล่อหลอม สิ่งสำคัญคือเรื่องอะไรทำไปเพื่อเป้าประสงค์แบบไหน จริงหรือเท็จแค่ไหนก็ต้องมีวิจารณญาณ เป็นสิ่งสำคัญ เช่นเดียวกับ การอ่านบทความนี้วิจารณญาณเป็นสิ่งสำคัญ นี่เป็นเพียงสิ่งที่เรามาชวนคิดกันผ่านมุมมองของเราเอง เพราะฉะนั้นบางเรื่องอาจจะคิดผิดหรือถูก หรือมั่วคิดขึ้นเองก็โปรดไตร่ตรองกันอย่างดีด้วย และถ้าคุณอ่านมาถึงตอนนี้ ยินดีด้วยคุณเป็นแฟนของ บทความ ชวนคิด ชวนอ่าน ภาพยนตร์และความจริง แล้วเราขอขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์และชวนทุกคนมาคิดผ่านมุมมองของภาพยนต์ กับความจริง และตัวคุณเองนะ ขอให้มีความสุขและเพลิดเพลินกับบทความนี้ และขอให้วันนี้เป็นวันที่ดี แหล่งที่มาภาพ :ภาพหน้าปก / ภาพที่ 1 / ภาพที่ 2 / ภาพที่ 3 / ภาพที่ 4 / ภาพที่ 5 / ภาพที่ 6 / ภาพที่ 7 / ภาพที่ 8 ขอขอบคุณภาพจาก IMDb.comและขอขอบคุณค่ายภาพยนตร์ CJ Entertainment