สำหรับคนที่ชื่นชอบการดูหนังเยี่ยงเรา ๆ ท่าน ๆ ก็คงต้องยอมรับความจริงที่ว่า การมาถึงของหนังใหม่ ๆ ที่รอคอยกันอยู่ น่าจะไม่เกิดขึ้นในเร็ววันนี้ บริการวิดีโอสตรีมมื่งยอดนิยมอย่าง NETFLIX จึงยังคงเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับการหาหนังดีมาชมยามว่างที่บ้านของเรา ยิ่งหลังจากการผนึกพลังกันจนทำให้เราสามารถดูหนังจาก NETFLIX ผ่านกล่อง TrueID TV ได้มานี่ ชีวิตการชมภาพยนตร์ที่บ้านของเราก็ง่ายขึ้นมาก ผมชอบที่จะใช้คีย์บอร์ดบลูทูธเชื่อมต่อกับกล่อง เพราะมันทำให้การพิมพ์ชื่อหนังในการค้นหาคล่องตัวกว่าการใช้รีโมตคอนโทรล ว่าแล้วก็เลยลองค้นหาหนังในแนวนิยายวิทยาศาสตร์ที่เราท่านมักเรียกกันว่าหนังไซไฟมาดูสัก 4-5 เรื่อง รายชื่อหนังที่อยู่ในระบบของ NETFLIX มีการอัพเดทอยู่เป็นระยะ ๆ สำหรับในช่วงกลางเดือนพฤษภาคมที่กำลังพิมพ์บทความนี้อยู่ ผมค้นเจอหนังไซไฟน่าดูอยู่หลายเรื่อง ที่ต้องค้นก็เพราะว่า หนังดีบางเรื่องอาจไม่ถูกระบบนำเสนอขึ้นมาให้เราเห็น หรือบางครั้งอาจโผล่มาแว๊บ ๆ แต่พออยากจะดูขึ้นมาจริง ๆ ก็กลับมองหาไม่เจอซะอีก หนังทั้ง 5 เรื่องที่เลือกมาชวนให้ชมกันในคราวนี้ มาจากหลายช่วงเวลา มีเสน่ห์ดึงดูดในแบบที่แตกต่างกันไป บางเรื่องได้รับการยกย่องในฐานะหนังที่ทรงคุณค่าทางศิลปะ แต่ผมเชื่อว่าทุกเรื่องเป็นหนังที่คุ้มค่ากับการเสียเวลาชมอย่างแน่นอน ผมได้จัดเรียงเนื้อหาของหนังตามปีที่พวกมันถูกเผยแพร่จากก่อนไปหลังไว้ ขอเรียนเชิญทัศนากัน และหวังว่าจะมีสักเรื่องที่ถูกใจคุณ | 2001: A Space Odyssey"แผ่นหินประหลาดสีดำถูกพบฝังอยู่ภายใต้พื้นผิวของดวงจันทร์ และมันอยู่ตรงนั้นมาแล้วเป็นเวลาถึง 4 ล้านปี เป็นหลักฐานสำคัญที่แสดงถึงการมีอยู่ของผู้ทรงภูมิปัญญานอกพิภพ นำไปสู่ภาระกิจค้นหาความจริงครั้งสำคัญของมวลมนุษยชาติ ทีมสำรวจ 5 คนถูกส่งให้เดินทางอันยาวไกลไปกับยาน Discovery One พร้อมด้วยปัญญาประดิษฐ์ประจำยานที่มีชื่อว่า HAL มุ่งสู่ดาวพฤหัส หลังจากที่พบว่าเจ้าแผ่นหินลึกลับนั้น ได้ส่งสัญญาณวิทยุกำลังสูงตรงไปที่นั่น"นี่คือมหากาพย์ภาพยนตร์ไซไฟแห่งศตวรรษ จากฝีมือการกำกับระดับปรมาจารย์ของ Stanley Kubrick สร้างจากบทภาพยนตร์ที่เขาเขียนร่วมกับ Arthur C. Clarke นักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ผู้ทรงอิทธิพลสูงสุดคนหนึ่งของวงการ เจ้าของเรื่องสั้นชื่อ The Sentinel ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจของหนังเรื่องนี้ 2001: A Space Odyssey ทำให้ Stanley Kubrick ได้รับรางวัลออสการ์ในสาขา Best Special Visual Effects ในปี 1969 จึงแทบไม่ต้องบอกเลยว่า หนังเรื่องนี้โดดเด่นมากเรื่องการใช้เทคนิคพิเศษในการสร้างสรรค์ภาพจากจินตนาการ อย่างเช่น การท่องอวกาศในโลกอนาคต ให้ออกมาสู่สายตาผู้ชมได้อย่างสมจริง จนทำให้เราอดประหลาดใจไม่ได้กับสิ่งที่เทคนิคการถ่ายทำเมื่อกว่า 50 ปีก่อน ในยุคที่ศาสตร์แห่งคอมพิวเตอร์กราฟิกยังไม่ถือกำเนิด สามารถทำมันขึ้นมาได้ สำหรับคอหนังไซไฟผู้พิสมัยเรื่องราวลี้ลับเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตจากนอกโลก กับเนื้อหาชวนให้ขบคิดและจินตนาการต่อ ประมาณว่าหนังจบแต่จินตนาการยังไม่จบ และยิ่งถ้าคุณเป็นหนึ่งในคนที่หลงใหลในผลงานดนตรีคลาสสิกจากคีตกวีชื่อดังอย่าง Richard Strauss และ Johann Strauss II ด้วยแล้ว หนังเรื่องนี้จะเป็นสิ่งที่คุณไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง | Close Encounters of the Third Kind"ทีมนักวิทยาศาสตร์ของรัฐบาลอเมริกันซึ่งนำโดย Claude Lacombe ได้รับรายงานการพบเจอเหตุการณ์แปลกประหลาดที่เกิดขึ้นในพื้นที่ต่าง ๆ ของโลก ทั้งการปรากฏขึ้นบนทะเลทรายในประเทศเม็กซิโกของฝูงบินรบอมริกัน ที่หายสาบสูญไปตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง การได้ยินเสียงท่วงทำนองดนตรีจากฟากฟ้าของผู้คนจำนวนมากในอินเดีย ตามมาด้วยการเพิ่มขึ้นของพยานผู้พบเห็นวัตถุบินลึกลับในมลรัฐอินเดียน่า มีบางคนสามารถสัมผัสทางจิตได้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่พวกเขาไม่เข้าใจ Roy Neary ช่างดูแลสายส่งไฟฟ้าแรงสูงในเมืองมันซี ก็เป็นหนึ่งในนั้น และประสบการณ์เหนือธรรมชาติที่เขาได้เผชิญในครั้งนี้ กำลังจะนำเขาไปสู่การผจญภัยที่ล้ำเกินกว่าผู้ใดจะจินตนาการได้" Steven Spielberg ทั้งแต่งเรื่องราวและกำกับหนังเรื่องนี้ไว้เมื่อกว่า 40 ปีก่อน เป็นผลงานในยุคเริ่มต้นของเขาและเป็นหนังในแนวไซไฟเรื่องแรกของเขาด้วย ดูเหมือนจะเป็นการชิมลางกับหนังในแนวนี้ ก่อนที่จะมาประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามกับ E.T. the Extra-Terrestrial หนังแนวไซไฟสำหรับครอบครัว ที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเด็กน้อยชาวโลก กับผู้มาเยือนจากต่างดาว Close Encounters of the Third Kind ได้รับรางวัลออสการ์ในสาขาการถ่ายทำภาพยนตร์ยอดเยี่ยมในปี 1978 และต่อมาในปี 2007 ยังได้รับการคัดเลือกเพื่อเก็บรักษาไว้ในฐานะผลงานที่โดดเด่นในเชิงสุนทรียะ, วัฒนธรรม หรือประวัติศาสตร์ของชนชาติอเมริกัน โดยสำนักทะเบียนภาพยนตร์แห่งชาติของสหรัฐอเมริกาอีกด้วยClose Encounters of the Third Kind เป็นหนังไซไฟที่มีความเป็นดราม่าค่อนข้างสูง Spielberg เลือกใช้บริการจาก Richard Dreyfuss นักแสดงเจ้าบทบาทคู่บุญ ผู้โด่งดังมาด้วยกันจากหนังฉลามระทึกขวัญอันลือลั่นเรื่อง JAWS มารับบทนำในเรื่องนี้ หนังเรื่องนี้มีรายละเอียดของเนื้อหาที่น่าจะถูกอกถูกใจผู้ชมที่รักในเสียงดนตรีเป็นพิเศษ ยังไม่นับรวมถึงเพลงประกอบจากฝีมือของสุดยอดคอมโพสเซอร์อย่าง John Williams ซึ่งก็ทำออกมาได้อย่างน่าประทับใจสมคำร่ำลือ | Edge of Tomorrow"ภูมิภาคยุโรปถูกยึดครองโดยผู้รุกรานจากนอกโลกที่เรียกกันว่า Mimics นานาประเทศรวมตัวกันจัดตั้งกองกำลังป้องกันโลกขึ้นเพื่อต่อต้าน William Cage ทหารฝ่ายประชาสัมพันธ์ยศพันตรีของกองทัพ ถูกบังคับให้เข้าร่วมกองทหารที่กำลังจะถูกส่งไปโจมตีพวก Mimics ที่ฝรั่งเศส Cage เข้าสู่สนามรบและได้ถูก Mimics ตัวหนึ่งฆ่าตาย นั่นคือจุดเริ่มต้นของประสบการณ์ผจญภัยหลังความตายในวังวนของเวลาอันไม่รู้จบ เพราะทุกครั้งหลังจากที่เขาตาย เขาจะตื่นขึ้นมาใหม่ในเช้าของวันที่เขากำลังจะถูกส่งไปสนามรบเสมอ"หนังเรื่องนี้ทำให้ผมนึกถึงหนังรัก ตลก แฟนตาซีในปี 1993 ที่มีพล็อตเรื่องคล้าย ๆ กันอยู่เรื่องหนึ่ง หนังชื่อ Groundhog Day เป็นเรื่องราวของผู้รายงานข่าวพยากรณ์อากาศนิสัยเสียคนหนึ่ง ซึ่งเข้าไปติดอยู่ในวังวนเวลาของวันฉลองการเปลี่ยนแปลงฤดูกาล หลังจากที่เขาหลับหรือตาย เมื่อตื่นขึ้นมา เขาจะพบว่าตัวเองกลับมาอยู่ในเช้าของวันนั้น ซ้ำแล้ว ซ้ำอีก สำหรับผมแล้ว Edge of Tomorrow จึงเหมือนกับเป็น Groundhog Day ในเวอร์ชันไซไฟ แอ็กชัน แต่ที่จริงแล้ว บทภาพยนตร์ของหนังเรื่องนี้ดัดแปลงมาจากนิยายสำหรับวัยรุ่นญี่ปุ่นเรื่อง All You Need Is Kill ที่แต่งโดย Hiroshi Sakurazaka เมื่อปี 2004Edge of Tomorrow เป็นหนังไซไฟ แอ็กชัน ที่ดูสนุก ตื่นเต้นเร้าใจในแบบของ Doug Liman ผู้ฝากฝีมือการกำกับไว้ในหนังแอ็กชันมันส์ ๆ อย่าง The Bourne Identity (2002), Mr. & Mrs. Smith (2005) และ Jumper (2008) โดยคราวนี้ได้ Tom Cruise พระเอกตลอดกาลของเรามารับบทนำร่วมกับ Emily Blunt ได้เป็นคู่พระ-นางที่เหล่านักวิจารณ์ไห้การตอบรับอย่างดีในเรื่องบทบาทการแสดง นี่คือหนังไซไฟ แอ็กชัน หนึ่งเดียวจากบรรดาหนังทั้งหมด 5 เรื่องที่เลือกมาชวนให้ชมกัน ใครที่ชื่นชอบหนังที่มากับฉากต่อสู้อันดุเดือด มีภาพที่สร้างขึ้นมาจากเทคนิคพิเศษได้อย่างสมจริง คุณจะต้องสนุกไปกับความพยายามที่จะเอาชนะเหล่าศัตรูตัวร้ายของพระเอกในหนังเรื่องนี้อย่างแน่นอน | The Martian"Mark Watney นักพฤกษศาสตร์ผู้เป็นหนึ่งในทีมสำรวจดาวอังคารภายใต้ชื่อภารกิจ Ares III ถูกทิ้งไว้บนดาวอังคารโดยลำพัง เนื่องจากเพื่อนร่วมทีมเข้าใจว่าเขาได้ตายไปแล้วในเหตุการณ์ที่ยานสำรวจของพวกเขาถูกถล่มโดยพายุฝุ่นขนาดใหญ่ Watney ต้องใช้ความสามารถทุกอย่างที่เขามี เพื่อหาทางติดต่อกลับไปยังโลกและพยายามที่จะดำรงชีวิตอยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมสุดโหดให้ได้นานที่สุด จนกว่าความช่วยเหลือจะมาถึง" Ridley Scott หนึ่งในผู้กำกับหนังไซไฟที่มีคนติดตามชมผลงานมากที่สุดคนหนึ่งของวงการ สร้างชื่อจาก Alien (1979) ต้นตระกูลของหนังเอเลี่ยนทั้งปวงและ Blade Runner (1982) หนังไซไฟ ระทึกขวัญระดับคลาสสิกที่แฝงปรัชญาอันลุ่มลึก เขาสร้างสรรค์ The Martian จากบทภาพยนตร์ซึ่งดัดแปลงมาจากนิยายวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเดียวกัน ผลงานการแต่งของ Andy Weir โปรแกรมเมอร์นักเขียนผู้มีผลงานน่าจับตามองยิ่ง The Martian เป็นหนึ่งในสิบหนังทำเงินสูงสุดของปี 2015 ทำรายได้จากทั่วโลกไปแล้วกว่า 630 ล้านเหรียญสหรัฐ กลายเป็นหนังที่ทำรายได้สูงสุดของ Ridley Scott เองมาจนถึงวันนี้ด้วยMatt Damon รับบทบาทของ Mark Watney นักบินอวกาศผู้โชคร้ายได้อย่างมีชีวิตชีวา เขาสามารถนำพาผู้ชมให้สนุกสนานและตื่นเต้นไปกับการแก้ไขปัญหาเพื่อเอาชีวิตรอดด้วยความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งถ่ายทอดออกมาได้อย่างสมจริงสมจัง ท่ามกลางความไพเราะจากบทเพลงในแนวดิสโก้สนุก ๆ จากยุค 70s ที่เหมือนกับเป็นสัญลักษณ์สำคัญอย่างหนึ่งของหนังเรื่องนี้ไปแล้ว ลองชมกันดูนะครับ แล้วคุณจะพบว่าเวลาเกือบสองชั่วโมงครึ่งกับหนังเรื่องนี้ มันผ่านไปอย่างรวดเร็วเพียงใด | Passengers"มนุษย์ค้นพบดาวเคราะห์ดวงใหม่ที่สามารถจะดำรงชีวิตอยู่ได้ และได้ก่อตั้งเป็นอาณานิคมนอกโลกที่เรียกว่า Homestead II ผู้โดยสารและลูกเรือจำนวนกว่า 5,000 คน ออกเดินทางที่ต้องใช้ระยะเวลาอันยาวนานถึง 120 ปีในสภาวะจำศีล เพื่อมุ่งสู่อาณานิคมใหม่แห่งนี้ ด้วยยานอวกาศขนาดยักษ์ชื่อ Avalon ระหว่างการเดินทางในอวกาศอันเวิ้งว้าง ได้เกิดความผิดพลาดขึ้นในการทำงานของแคปซูลจำศีลของผู้โดยสารหนุ่มชื่อ James Preston ทำให้เขาถูกปลุกขึ้นมาก่อนเวลาที่ควรจะเป็นถึง 90 ปี Preston ต้องใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวบนยาน Avalon เป็นเวลานาน จนกระทั่งได้มาพบกับแคปซูลจำศีลอีกอันหนึ่ง คนที่นอนหลับอยู่ในแคปซูลนั้น ทำให้เขาตัดสินใจทำบางสิ่งบางอย่าง ซึ่งมันก็ได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาไปตลอดกาล"Passengers เป็นผลงานการกำกับของ Morten Tyldum ผู้กำกับชาวนอร์เวย์ผู้เคยถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ในสาขาผู้กำกับยอดเยี่ยม จากหนังเรื่องราวชีวิตของอัจฉริยะนักคณิตศาสตร์นาม Alan Turing เรื่อง Imitation Game (2014) แม้ตัว Tyldum จะพลาดรางวัลนั้นไป แต่หนังก็ยังได้รับรางวัลออสการ์ ในสาขาบทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยมกลับไปในที่สุด Jennifer Lawrence และ Chris Pratt โคจรมาพบกันในหนังเรื่องนี้ในช่วงเวลาที่เป็นขาขึ้นของทั้งคู่ เป็นเสมือนแม่เหล็กดึงดูดบรรดาคอหนังผู้มีดาราทั้งสองเป็นขวัญใจ ให้หันมาสนใจหนังเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี แม้หนังจะไม่ดังเปรี้ยงปร้าง แต่รายได้ก็ไม่ได้ขี้เหร่ ทำเงินจากทั่วโลกไปแล้วถึง 303 ล้านเหรียญสหรัฐหนังเรื่องนี้เป็นส่วนผสมที่กลมกล่อมของนิยายวิทยาศาสตร์ และเรื่องรักโรแมนติกของหนุ่มสาว ในบรรยากาศของการเดินทางข้ามจักรวาลเพื่อแสวงหาชีวิตใหม่ เป็นความบันเทิงครบรสที่แตกต่างจากหนังทุกเรื่องที่ได้เลือกมาชวนให้ชมกันในคราวนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทบาทการแสดงอันเปี่ยมอารมณ์ของ Jennifer Lawrence ใน Passengers เป็นสิ่งที่มองข้ามไม่ได้เลยจริง ๆ อีกอย่างหนังแนวโรแมนติก ไซไฟ แบบนี้ก็หาดูได้ไม่ง่ายเลย ขอให้มีความสุขกับการดูหนังนะครับ และหากมีความคิดเห็น คำแนะนำ หรือคำติชมใด ๆ ก็สามารถฝากไว้ในกล่องความคิดเห็นท้ายบทความได้เลย แต่อย่าลืมล็อกอินเข้า TrueID ก่อนด้วยนะ :-) ภาพหน้าปกโดย: ยุคคาสเซ็ทขอบคุณภาพประกอบบทความจาก Metro-Goldwyn-Mayer, SonyPicture, Warner Bros. Pictures และ Fox Studios: รูปประกอบที่ 1/ รูปประกอบที่ 2/ รูปประกอบที่ 3/ รูปประกอบที่ 4/ รูปประกอบที่ 5