ตอนนี้ในเมืองไทยบ้านเรา นอกจากอาหารจีน เกาหลี ญี่ปุ่น ที่ครองใจชาวไทยมาอย่างยาวนานแล้ว อาหารอีกหนึ่งชาติที่กำลังมาแรงและเป็นกระแสแบบสุด ๆ อย่างปฏิเสธไม่ได้เลยนั่นก็คือ อาหารอินเดีย นั่นเอง จากรสชาติ และเสน่ห์อันเป็นเอกลักษณ์ รวมไปถึงความสามารถในการใช้เครื่องเทศต่าง ๆ ที่ทั่วโลกให้การยอมรับ ด้วยความที่คนอินเดียส่วนมากไม่ทานเนื้อสัตว์กัน จึงรับประทานผัก ถั่ว และ ชีสอินเดีย หรือ paneer เป็นหลัก เพื่อทดแทนโปรตีนที่ร่างกายต้องการจากเนื้อสัตว์ เหตุแห่งความหาทำนี้ คือเนื่องจากผู้เขียนกำลังอยู่ในช่วงดูใจจากระยะไกลกับพ่อหนุ่มเครางามแดนภารตะอยู่ และชีสอินเดียนี้เป็นสิ่งที่คนอินเดียชอบมาก ไม่ว่าจะเป็นแกง ย่าง ทอด ท็อปปิ้งพิซซ่า แม้กระทั่งเมนูพาสตา ไปจนถึงการทำเป็นของหวาน ก็สามารถทำได้ และเขาก็พูดถึงอยู่ตลอดเวลา ทำให้ผู้เขียนเกิดความสงสัยว่ารสชาติจะเป็นอย่างไร จึงตัดสินใจหาทำดู ทั้งจะได้เป็นการโชว์สกิลแม่ศรีเรือนไทยสู่สายตาพ่อหนุ่มแดนภารตะสักหน่อย รวมถึงสมาชิกในครอบครัวผู้เขียนจะได้ลองทานอะไรใหม่ ๆ กันด้วย ปรากฏว่าชีสที่ออกมามีรสชาติ และเนื้อสัมผัสที่ดีเลยทีเดียว แถมยังดีต่อสุขภาพ รวมถึงการทำไม่ยากจนเกินไป อีกทั้งผู้เขียนเห็นว่าคนให้ความสนใจอาหารอินเดียกันมากขึ้นเป็นอย่างมาก อาจอยากลองทำทานเองที่บ้านเช่นเดียวกันกับผู้เขียน ผู้เขียนจึงอยากมาแชร์สูตรให้ทุกคนลองทำกัน จากที่ผู้เขียนได้ทำมาสองถึงสามครั้ง ได้เนื้อชีสที่กระด้างบ้าง แตกง่ายไม่อยู่ทรงบ้าง ในคราวนี้ได้เทคนิคมา ลองทำแล้วดีงามมาก ได้ชีสที่อร่อยถูกใจ จะมีวิธีการทำอย่างไรบ้าง สามารถติดตามได้ดังนี้ ส่วนผสมที่ต้องเตรียม เตรียมอุปกรณ์เรียบร้อยแล้ว มาเริ่มทำกันเลย ต้มนมด้วยไฟกลางค่อนไปทางอ่อน คนเล็กน้อย ป้องกันการไหม้ที่ก้นหม้อ รอจนกระทั่งนมเดือดตามภาพ จนเห็นชั้นไขมันครีมนมลอยขึ้นมา ปิดไฟ แล้วพักไว้ให้เย็นลงสักครู่ ประมาณ 5 นาที ช้อนชั้นไขมันที่ลอยอยู่เป็นชั้นด้านบนออก ส่วนนี้เป็นไขมันส่วนเกินที่จะไม่จับตัวเป็นชีส ขั้นตอนนี้ช่วยให้เนื้อสัมผัสของชีสดีขึ้น (ชีสคือโปรตีนในน้ำนม) ผสมน้ำส้มสายชูลงในน้ำที่เราได้เตรียมไว้ เทลงในหม้ออย่างช้า ๆ คนอย่างเบามือที่สุด เราต้องการให้ส่วนผสมกระจายตัวเข้ากันเท่านั้น แต่ไม่ต้องการให้โปรตีนที่แยกตัวออกมาแตกเป็นเม็ดเล็ก ๆ ยิ่งจับตัวเป็นก้อนใหญ่เท่าไหร่ เนื้อชีสจะเนียนมากเท่านั้น อาจไม่ต้องใช้น้ำผสมน้ำส้มสายชูทั้งหมด ค่อย ๆ สังเกต ถ้าทั้งหมดแยกตัวจากกันดีก็เป็นอันใช้ได้ หลังจากนั้นวางทิ้งไว้จนเย็นสนิท จึงนำไปกรอง กรองเนื้อชีสออกจากน้ำรองโดยใช้ผ้าขาวบางพับทบกัน จากนี้ไม่ควรใช้มือบีบน้ำออก เพราะเนื้อชีสที่ได้จะแข็ง ให้มัดแล้วแขวนพักไว้ให้น้ำออก อาจใช้เชือกมัดแล้วแขวนไว้ หรือมัดปลายผ้าแล้วหาอะไรสอดไว้ได้ ทิ้งไว้โดยประมาณ 1 ชั่วโมง หรือ 1 ชั่วโมงครึ่ง เทก้อนชีสที่ได้ลงบนผ้าสะอาด นวดจนเนื้อเนียนโดยใช้ฝ่ามือ โดยไม่กดแรงเกินไป ใช้แรงแค่พอดี โดยผ้าจะช่วยซับน้ำที่เหลืออยู่ออกไป (ด้วยความใจร้อน ผู้เขียนเทมาตอนยังมีความชื้นอยู่มากกว่าที่ควร ไม่สามารถนวดด้วยมือได้ จึงนวดด้วยไม้พายซิลิโคนแทน ปาดไปมาจนเนื้อเนียน) จากนั้นใส่แป้งข้าวโพดที่เตรียมไว้ เพื่อช่วยในการคงตัวของชีส เวลาหั่น และปรุงอาหารจะได้ไม่แตกง่าย ยังคงรูปร่างอยู่ได้ดี และนวดเล็กน้อยอีกครั้งให้เข้ากันดี รวมเนื้อชีสไว้ตรงกลาง แล้วพับผ้าที่เรารองนวดเมื่อครู่ ตามขนาดรูปทรงชีสที่เราต้องการ ดึงผ้าให้ตึง เพื่อไม่ให้ชีสมีรอยยับตามผ้า วางจานแบนหรือถาดด้านบนแล้วกดเพื่อขึ้นทรง (ไม่กดแรงหรือเบาจนเกินไป) หาอะไรหนัก ๆ ทับไว้ 5-10 นาที จากนั้นแช่ตู้เย็นให้อยู่ตัว 30 นาที โดยประมาณ สามารถใช้ได้เลย โดยการนำออกมาแล้วตัดเป็นชิ้นขนาดที่ต้องการ (เนื่องจากความชื้นที่มากเกิน ผู้เขียนจึงแช่ข้ามคืน เพื่อให้ชีสแห้งลงจนได้ความชื้นที่เหมาะสม) เท่านี้ก็เป็นอันเรียบร้อย หากยังไม่ใช้งาน ควรเก็บรักษาโดยการห่อผ้าไว้ดังเดิม แล้วหุ้มด้วยพลาสติกแรป หรือใส่ในกล่องที่มีฝา เพื่อรักษาความชุ่มชื้น ป้องกันการแห้ง และเสียง่าย และนี่คือเมนูที่รังสรรค์จากชีสโฮมเมดของเรา แกงมีกลิ่นหอมเครื่องเทศและกลิ่นหอมของเนย มีความนัวความมันจากมะเขือเทศและเม็ดมะม่วงหิมพานต์ ไก่เปื่อยนุ่มกำลังดี ชีสของเราที่ได้ก็มีเนื้อเนียน หนึบ หอมนม และคงตัวดีมาก เคี่ยวในแกง หรือ เวลาตักเสิร์ฟก็ไม่แตก ถูกใจสมาชิกในครอบครัวผู้เขียนเป็นอย่างมาก ส่วมพ่อหนุ่มภารตะได้เห็นรูปก็ประทับใจมาก ออกปากชมไม่หยุด เป็นอันว่าประสบความสำเร็จอย่างสวยงาม ใครที่สนใจสามารถลองทำตามกันได้เลย ภาพปก Kanwardeep Kaur unsplash ภาพประกอบโดยผู้เขียน ตกแต่งด้วย canva สูตรเด็ด เคล็ดลับอาหารหลากหลาย เข้าไปดูได้ที่ App TrueID โหลดฟรี!