พักก่อน! แม่บอกให้เธอพักผ่อนยังละอ่อนยังสาวลูกหลาวอย่าไปทักก่อนพักผ่อน! พี่อยากให้น้องได้พักผ่อนพูดเหมือนหล่อนเมายาคุมน้องควรกลับไปน๊อนนอนนะ (เพลง "พักก่อน" - น้อง Milli) "ถ้าเหนื่อยก็ให้หยุดพัก แต่ถ้าเหงานักก็ให้ทักแชทมาาาาา" (อั๊ยย่ะ! โปรดอมยิ้มสัก 3 วิให้กับมุกอะฮุอะฮิ ขอให้ได้เล่นเปิดซะหน่อย 555) ความจริงไม่ต้องรอให้เหนื่อยก็หยุดพักได้นะ คนเก่งที่ได้รางวัลต่าง ๆ รวมถึงอัจฉริยะระดับโลก เขาฝึกฝนตัวเองอย่างหนัก แต่เขาก็ให้ความสำคัญกับการพัก แล้วคนเก่งเหล่านั้นเขาพักวิธีไหน? จัดสรรเวลาพักอย่างไร? ในบทความนี้ตะวันจะพาคุณผู้อ่านไปเรียนรู้เคล็ดลับการพักจากคนเก่งระดับโลกอย่างนักวิ่งทำลายสถิติโลก แชมป์โลกหมากรุก นักกีฬาโอลิมปิก นักธุรกิจ ศิลปิน และองค์กรระดับโลกที่รวมคนเก่ง ๆ อย่าง Google คุณพร้อมที่จะยอมปล่อยให้ตัวเองได้พักบ้างอะไรบ้างหรือยัง? เราจะมาพักแบบคนเก่ง ๆ เขาทำกัน (เอ้า พักก่อนนนน แม่บอกให้เธอพักผ่อน!) "คนเก่ง พักเป็น (Peak Performance)" (ของสำนักพิมพ์ Bingo) เป็นหนังสือที่เต็มไปด้วยสูตรลับพัฒนาตัวเองที่อัจฉริยะระดับโลกใช้กันโดยมีงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์และจิตวิทยารับรอง เขียนโดยสองนักเขียนที่อยู่คนละวงการแต่มีความเชื่อเหมือนกันนั่นคือ "Brad Stulberg" อดีตที่ปรึกษาทำเนียบขาว และ "Steve Magness" โค้ชนักกีฬาโอลิมปิก พวกเขาเคยเชื่อว่าการที่จะเป็นคนเก่งนั้นต้องทุ่มเทฝึกฝนอย่างหนักหน่วง แต่ทว่าเมื่อพวกเขาได้ไปจับเข่าคุยกับอัจฉริยะจากทุกวงการทั่วโลก กลับได้ข้อสรุปที่ว่า "สูตรลับคนเก่งไม่ใช่การฝึกฝน แต่อยู่ที่การพักให้เป็นต่างหาก!" สูตรลับที่หนังสือเล่มนี้บอกไว้คือ "ความตึงเครียด + การพัก = การพัฒนา" เดี๋ยวจะมาอธิบายว่าสมการนี้มีที่มาอย่างไร แต่จะขอเล่าเรื่องของคน ๆ หนึ่งก่อน "จอช เวทซ์กิน" นักกีฬาหมากรุกที่รู้จักกีฬาหมากรุกตั้งแต่อายุ 6 ขวบจากการที่ไปสวนสาธารณะเพื่อจะเล่นโหนบาร์ แต่เขากลับสนใจกลุ่มคนที่กำลังเล่นหมากรุก เขาจึงขอเข้าไปเล่นด้วย เมื่อเล่นบ่อย ๆ บวกกับพรสวรรค์และความหลงใหล ทำให้เขาเอาชนะคู่แข่งตั้งแต่ 8 ขวบ (คู่แข่งอายุมากกว่าเขา 5 เท่า!) เมื่ออายุ 9 ขวบ เขาชนะการแข่งขันระดับประเทศ พออายุ 16 ปี เขาก็ไต่เต้าจนเป็นแชมป์ระดับโลก! วิธีที่เขาบ่มเพาะความสามารถและแรงขับเคลื่อนในการแข่งขัน คือการสลับไปมาระหว่าง "ความตึงเครียด" และ "การพักผ่อน" เขาออกไปเดินยืดเส้นยืดสาย ออกไปวิ่งสุดแรงเกิดหรือไม่ก็วิ่งขึ้นบันได 6 ชั้น หลังจากเล่นหมากรุกด้วยความตึงเครียดมา 4-5 ชั่วโมงติด ๆ กัน จากนั้นก็กลับมาล้างหน้าล้างตา ทำให้เขารู้สึกสดชื่น นี่คือวิธีพักของแชมป์โลกหมากรุก คุณเคยยกเวทหรือเปล่า? การยกเวทที่หนักเกินไป อาจทำให้ยกได้ไม่ครบเซ็ต ถ้าฝืนทำจนครบ ก็อาจจะทำให้ได้รับบาดเจ็บ แต่ถ้าเลือกยกเวทที่เบาเกินไป อาจจะไม่เห็นผลอะไรเลย ดังนั้นต้องหาน้ำหนักที่ใช่ให้เจอ มันคือน้ำหนักที่ยกแทบไม่ไหว แต่หลังจากที่ยกเสร็จ เราจะรู้สึกเหนื่อยแต่ไม่บาดเจ็บ ถ้าเราไม่พยายามที่จะยกเวทให้สุดกำลัง กล้ามเนื้อก็จะไม่แข็งแรงขึ้น กุญแจสำคัญที่ทำให้กล้ามเนื้อแขนหรือกล้ามเนื้ออื่น ๆ (รวมถึงสมอง) แข็งแรงขึ้นคือสมดุลระหว่าง "ความตึงเครียด" (หมายถึงบางสิ่งที่ท้าทายร่างกาย) กับ "การพัก" นั่นเอง ดังสมการ >> ความตึงเครียด + การพัก = การพัฒนา วัฏจักรที่สลับไปมาระหว่างความตึงเครียดและการพักในโลกของวิทยาศาสตร์การกีฬาเรียกว่า "การแบ่งช่วงเวลาฝึกซ้อม" วัฏจักรของมันคือ1. หากล้ามเนื้อหรือความสามารถที่คุณต้องการจะพัฒนา2. ทำให้เกิดความตึงเครียดโดยใช้วิธีท้าทายสมรรถภาพตัวเอง3. พักและฟื้นฟู เพื่อให้เวลาปรับตัว4. ทำซ้ำ โดยให้กล้ามเนื้อหรือความสามารถนั้นตึงเครียดมากกว่าครั้งที่แล้ว ในด้านสติปัญญาและความคิดสร้างสรรค์นั้น "ดร.มิฮาลี ชิคเซนมิฮาย" ผู้บุกเบิกสาขาจิตวิทยาเชิงบวกและเป็นที่รู้จักจากแนวคิดเกี่ยวกับ "ความสุขและจิตวิทยาการทำงาน" ได้ทำการวิจัยเกี่ยวกับสิ่งที่นักสร้างสรรค์และอัจฉริยะระดับโลกมีร่วมกัน นั่นคือคนเหล่านี้ใช้เวลาไปกับการมุ่งมั่นอย่างเอาเป็นเอาตายกับงานหรือไม่ก็ปล่อยตัวให้ว่างเพื่อพักผ่อนและฟื้นฟูอย่างเต็มที่ โดยมีกระบวนการดังนี้1. ขั้นใจจดใจจ่อ คือช่วงที่พวกเขาจะทุ่มเทกับงานอย่างเต็มที่และมีสมาธิกับมันตลอด2. ขั้นบ่มฟัก คือช่วงเวลาสำหรับการพักและฟื้นฟูที่พวกเขาจะไม่คิดถึงเรื่องงานเลย3. ขั้นรู้แจ้ง คือช่วงเวลาที่พวกเขาร้อง "อ๋ออออ!" หรือ "ยูเรก้า! (ฉันค้นพบแล้ว!)" มันเป็นจังหวะที่พวกเขาเกิดไอเดียใหม่ ๆ และมีพัฒนาการด้านความคิด มีการทดลองหนึ่งที่น่าสนใจมากเกี่ยวกับการควบคุมอารมณ์ นักวิจัยเขาสงสัยว่าทำไมสมองถึงรู้สึกล้าหลังจากคิดแก้ปัญหาที่ซับซ้อนอย่างหนักหรือเวลาที่ต้องควบคุมอาหาร (ฟีลแบบต้องหักห้ามใจ) "ดร.รอย เบาไมส์เตอร์" นักจิตวิทยาสังคม เขาอยากรู้ว่าพลังสมองและพลังความตั้งใจของมนุษย์หมดลงได้อย่างไร จึงทำการทดลองโดยให้ผู้เข้าร่วมการทดลองเข้าไปในห้องที่อบอวลด้วยกลิ่นหอมของคุกกี้ช็อกโกแลตชิป ผู้เข้าร่วมการทดลองครึ่งหนึ่งได้กินคุกกี้ แต่อีกครึ่งหนึ่งถูกห้ามไม่ให้กิน แถมยังต้องกินหัวไชเท้าแทน! คนกลุ่มนี้เกิดความหงุดหงิด เพราะต้องฝืนจำใจกินทั้ง ๆ ที่ไม่ได้อยากกิน! หลังจากนั้น ผู้เข้าร่วมการทดลองทุกคนต้องแก้โจทย์ปัญหาที่ดูเหมือนว่าจะแก้ได้ แต่จริง ๆ ไม่มีทางทำได้ ผลที่ได้คือกลุ่มคนที่กินหัวไชเท้ามีความพยายามที่จะแก้โจทย์น้อยกว่ากลุ่มคนที่ได้กินคุกกี้ ทำไมความพยายามถึงได้แตกต่างกันเช่นนี้? คำตอบคือ คนที่กินหัวไชเท้าใช้กล้ามเนื้อจิตใจจนล้าไปหมดแล้วตอนที่ต้องอดทนอดกลั้นไม่กินคุกกี้ ส่วนคนที่ได้กินคุกกี้มีพลังใจเต็มเปี่ยมที่จะแก้โจทย์ปัญหา สรุปคือผู้เข้าร่วมการทดลองที่ถูกบังคับให้กล้ามเนื้อจิตใจหรือกล้ามเนื้อสมองทำงานอย่างหนัก ทั้งอดทนอดกลั้นต่อสิ่งเร้า แก้ปริศนายาก ๆ หรือตัดสินใจอะไรยาก ๆ จะทำกิจกรรมต่อไปที่ต้องใช้พลังใจได้แย่ลง อีกงานวิจัยที่คนมีแฟนควรจะรู้ไว้คืองานวิจัย "Hungry for Love: The Influence of Self-Regulation on Infidelity" เป็นงานวิจัยที่ศึกษาว่านักศึกษาที่มีแฟนเป็นตัวเป็นตนจะมีปฏิสัมพันธ์กับทีมงานต่างเพศอย่างไร? ก่อนทำการทดลองนี้ ผู้เข้าร่วมการทดลองครึ่งหนึ่งถูกบังคับให้อดกลั้นไม่กินอาหารที่ดูน่ากินมาก ส่วนอีกครึ่งสามารถกินได้ตามต้องการ ผลการทดลองคือคนที่ถูกบังคับให้อดอาหารมีแนวโน้มจะให้เบอร์โทรศัพท์หรือยอมรับนัดกับทีมงานต่างเพศ งานวิจัยนี้สรุปได้ว่า การที่ต้องอดทนอดกลั้นต่อสิ่งยั่วยุต่าง ๆ อาจเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ในปัจจุบันมีการนอกใจกันเพิ่มมากขึ้น! ทำไมเป็นอย่างนั้นละ? ก็เพราะว่ากิจกรรมในสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับการตอบสนองทางอารมณ์ (เช่น amygdala) จะมีมากกว่ากิจกรรมในสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับการคิดแบบเป็นเหตุเป็นผล (เช่น สมองส่วนหน้าหรือ prefrontal cortex) คุณลองทายซิว่าคนเก่ง ๆ เขามีสมาธิแน่วแน่กับงานเต็มที่กี่ชั่วโมง? ให้เวลา 5 วิ 5 4 3 2 1 หมดเวลา คำตอบคือไม่เกิน 2 ชั่วโมงติดต่อกัน นักวิจัยค้นพบว่าคนเก่งมักจะทำงานติดต่อกันคราวละ 60-90 นาที และพักสั้น ๆ ระหว่างนั้น ถ้าพูดถึง "Google" หลายคนอาจจะเคยได้ยินว่าที่ออฟฟิศของ Google มีมุมให้พนักงานได้พักผ่อนหย่อนใจ ที่เด่น ๆ เลยคือห้อง "Nap Room" ที่มีอุปกรณ์ชื่อว่า "Pod" เป็นอุปกรณ์สำหรับให้พนักงานได้เข้าไปงีบหลับชาร์จพลังให้ตัวเองหลังจากต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์อย่างหนักหน่วง อีกหนึ่งวิธีพักสไตล์ Google โดยนำวิถีย้อนยุคของเอเชียตะวันออกคือ "การเจริญสติ" โดยในปี 2007 ได้มีการเปิดคอร์ส "Search Inside Yourself" เป็นคอร์สฝึกเจริญสติระยะเวลา 7 สัปดาห์สำหรับพนักงาน Google มันช่วยให้พวกเขาฟื้นคืนพลังและป้องกันอาการหมดไฟ (Burnout Syndrome) การทำสมาธิเจริญสติเพียง 2-3 นาทีทุกวันจะช่วยเพิ่มสมองส่วน "คอร์เท็กกลีบหน้าผากส่วนหน้า (Prefrontal cortex)" เป็นส่วนที่มีพัฒนาการสูงสุดของสมอง ทำหน้าที่คิดวิเคราะห์และตัดสินใจ ทำให้เราตอบสนองต่อสถานการณ์ต่าง ๆ โดยใช้ความคิดแทนสัญชาตญาณ สมองส่วนนี้ทำให้เราแตกต่างจากสัตว์อื่น ๆ ตะวันอยากให้คุณลองนึกถึงเหตุการณ์ที่ทำให้สมองคุณปิ๊งไอเดียขึ้นมา ณ ตอนนั้นคุณอยู่ที่ไหน? กำลังทำอะไรอยู่? บางคนปิ๊งไอเดียตอนอาบน้ำ บางคนปิ๊งไอเดียตอนเดินเล่น บางคนปิ๊งไอเดียตอนหลับ (ศิลปินระดับโลกหลายคนได้ไอเดียจากความฝันนะจะบอกให้) นักวิจัยได้พิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์แล้วว่า ไอเดียสร้างสรรค์มากกว่า 40% จะเกิดขึ้นในช่วงที่เราพักจากการคิด เวลาที่เราคิดหรือตั้งใจทำอะไรสักอย่าง จิตสำนึกจะเป็นตัวควบคุม แต่ถ้าเราเลิกพยายามคิด จิตใต้สำนึกจะเข้ามามีบทบาทแทน ส่วนใหญ่ไอเดียสร้างสรรค์ที่โลดแล่นมาจากจิตใต้สำนึก นักประสาทวิทยาพบว่าจิตใต้สำนึกทำงานอยู่ตลอดเวลาแบบเงียบ ๆ อยู่เบื้องหลัง แต่ข้อมูลจากจิตใต้สำนึกจะผุดออกมาให้เห็นเฉพาะตอนที่เราปิดจิตสำนึกและเปลี่ยนมาพัก (ฉะนั้น..พักก่อน ตะวันอยากให้คุณพักผ่อน) หลังจากเล่าที่มาที่ไปของหนังสือเล่มนี้ (ที่มีทั้งหมด 231 หน้า) ตะวันขอสรุปวิธีพักของเหล่าอัจฉริยะคนเก่งโดยมี "เมนูการพัก" ดังนี้1. ออกไปเดินเล่นกันเถอะ เพราะการเดินเล่นเป็นกิจกรรมที่สมองทำงานไม่หนัก เวลาที่เราเดินเล่น จิตใต้สำนึกที่เป็นแหล่งกำเนิดความคิดสร้างสรรค์จึงเริ่มทำงาน2. ธรรมชาติจะเยียวยาเราเอง ออกไปสัมผัสแสงแดด สายลม สายน้ำ มองท้องฟ้า มองนก มองต้นไม้ใบหญ้า หรือถ้าออกไปสัมผัสธรรมชาติไม่ได้จริง ๆ ละก็ การมองรูปภาพธรรมชาติก็ช่วยได้นะ ติดรูปภาพวิวทิวทัศน์ไว้ที่โต๊ะทำงาน หรือใช้ wall paper หน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นภาพธรรมชาติก็ดีนะ3. การทำสมาธิแบบมีสติรับรู้หรือ "การสแกนร่างกาย" เพียง 7-10 นาทีจะช่วยฟื้นฟูร่างกายและความคิดสร้างสรรค์4. ฟื้นตัวด้วยการเข้าสังคม มนุษย์เป็นสัตว์สังคม การเข้าสังคมช่วยให้ระบบประสาทฟื้นตัวเร็วขึ้น ช่วยให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมน Oxytocin (ฮอร์โมนแห่งความรักและความผูกพัน) และ Vasopressin ที่ช่วยต้านอาการอักเสบและต้านอนุมูลอิสระ5. นอนหลับอย่างไม่กระสับกระส่าย การนอนหลับที่ดีมีคุณภาพต้องนอนหลับ 7-9 ชั่วโมง เพราะการนอนหลับช่วยให้สมองได้ฟื้นฟูความจำ ทบทวน ประมวลผล ช่วยเรื่องอารมณ์และความรู้สึก ยังช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอและเร่งการเจริญเติบโตของร่างกาย เพราะช่วยให้ร่างกายหลั่ง Growth ฮอร์โมนและฮอร์โมน Testosterone ซึ่งสำคัญต่อการสร้างกล้ามเนื้อและกระดูกให้เติบโต6. งีบหลับสักหน่อยน่า เพราะการงีบหลับช่วยเพิ่มความตื่นตัว สมาธิ ประสิทธิภาพในการทำงาน และความสามารถในการตัดสินใจ โดยผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้งีบหลับไม่เกิน 30 นาที (10 นาทีดีที่สุด) เรื่องการพัก บางคนอาจจะมองว่าการพักมันทำให้เสียเวลา ถ้าหยุดพัก งานเราก็จะไม่เสร็จ เราก็จะตามคนอื่นไม่ทัน ถ้างานยังไม่เสร็จ ถ้าเรายังฝึกฝนไม่มากพอ เราจะหยุดพักไม่ได้! เคยได้ยินภาวะนี้ไหม "ภาวะทำงานหนักจนตาย (Karoshi Syndrome)" หรือเรียกกันภาษาบ้าน ๆ ว่า "โรคบ้างาน" คนญี่ปุ่นเป็นกันเยอะ เกิดจากการทำงานอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานโดยไม่ได้หยุดพักจนร่างกายอ่อนเพลีย หัวใจวาย เส้นเลือดในสมองแตกจนตายคาโต๊ะทำงาน (ทำงานจนตายนั้นมีอยู่จริง) ตะวันไม่อยากให้เกิดภาวะนี้กับคนไทย และอยากให้คนไทยทำงานอย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่ส่งผลกระทบต่อร่างกายจนเกินไป อยากให้บทความนี้ได้ส่งถึงเหล่า(ยอด)มนุษย์ที่ทำงานหนักอย่างหักโหมได้ยอมให้ตัวเองได้พักบ้างอะไรบ้าง อยากให้คุณผู้อ่านได้รู้ว่า เอ้อ..คนเก่งระดับโลกเขาพักกันแบบนี้นะ ลองทำดูสิ เราจะได้เป็น "คนเก่งที่พักเป็น" ;)-------------------------------------------------------------------------------ตามไปอ่านบทความอื่น ๆ ของตะวันซันชายน์ได้ที่ >> creators.trueid.net/@25346-------------------------------------------------------------------------------ขอบคุณภาพประกอบ >> ภาพปก pixabay, ตะวันซันชายน์ / pic 1 youtube / pic 2, 3 ตะวันซันชายน์ / pic 4 pixabay / pic 5 pixabay / pic 6 pixabay / pic 7 pixabay / pic 8 pixabay / pic 9 pixabay / pic 10 pixabay / pic 11 pixabay / pic 12 Facebook / pic 13 pixabay / pic 14 pixabay / pic 15 ตะวันซันชายน์ / pic 16 pixabay / pic 17 pixabay / pic 18 pixabay / pic 19 pixabay