ช่วงนี้ออกจากบ้านไปไหนไม่ได้ จะให้ดูแต่ซีรีย์ก็ยังไงอยู่วันนี้เลยขอชวนทุกคนมาอ่านหนังสือรอคุณโควิดเขาไปกันจ้า(ภาพถ่ายหน้าปกหนังสือ เครดิตภาพโดยผู้เขียน)ปกติแล้ว เวลาที่เราอ่านอะไร ฟังบรรยายต่างๆ หรือเจออะไรใหม่ มีความคิดใหม่ๆ ขึ้นมาเราก็มักจะปล่อยผ่านใช่มั้ย ไม่ได้จดบันทึกทุกครั้งหรือทุกเรื่องที่เจอแต่ถึงแม้จะจด ก็อาจจะจดแบบผิวเผิน เราก็เป็นแบบนั้นมาก่อนแต่พอได้อ่านหนังสือเล่มนี้ มุมมองในการจดบันทึกก็เปลี่ยนไป ต้องบอกก่อนว่านักเขียนคนนี้เขา "บ้าจด" มากๆ เจออะไรก็จดทุกอย่างเขาให้เหตุผลที่จดแบบนั้นว่าจะได้ไม่ต้องใช้สมองจำข้อมูล ให้สมองสร้างสรรค์สิ่งใหม่แทน(ภาพถ่ายปกหลังของหนังสือ เครดิตรูปภาพโดยผู้เขียน)เป็นหนังสือที่อ่านง่าย อ่านจบได้ภายในหนึ่งวัน ไม่จำเป็นต้องเตรียมอุปกรณ์การจดมาเพื่อจดไปพร้อมๆ กับการอ่าน อ่านให้จบก่อน 1 รอบ แล้วค่อยลงมือจดตามที่ผู้เขียนแนะนำก็ได้ ถ้าจำเทคนิคต่างๆ ไม่ได้ก็ค่อยเปิดดูอีกที หาเจอได้ไม่ยากอ่านแล้วรู้สึกเหมือนกำลังฟังคนพูดมากกว่าเพราะใช้ภาษาเป็นกันเอง ทำให้อ่านเพลิน อ่านลื่นไหลดีสิ่งที่ผู้เขียนต้องการสื่อคือ ถ้าบันทึกสิ่งต่างๆ ที่รับรู้มา หรือสิ่งที่คิด สิ่งที่รูสึก แล้วหยุดแค่การจดบันทึกนั้น จะไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย สิ่งที่ควรทำต่อไปคือให้คิดว่าเนื้อหาเหล่านั้นสรุปออกมาเป็นแนวคิดใหม่ได้ว่าอย่างไร เหมือนให้สรุปออกมาเป็นคอนเซ็ปต์ (อย่างเป็นนามธรรม) เพื่อที่จะนำไปประยุกต์ใช้ต่อยอดเป็นไอเดียอื่นได้อีก(ภาพการจดบันทึก เครดิตภาพจาก www.medaholic.com)ตัวอย่างที่ผู้เขียนยกขึ้นมา (ผู้เขียนเคยเป็นนักร้องเปิดหมวก จึงยกสถานการณ์จริงที่ตัวเองเคยเจอมาใช้)ข้อเท็จจริง (สิ่งที่รับรู้มา) คือ เวลาเล่นคัฟเวอร์เพลงจะมีคนหยุดฟังมากกว่าเล่นเพลงที่แต่งเอง และถ้าเล่นเพลงที่คนหยุดฟังขอมาจะรู้สึกเป็นมิตรกันได้ทันที หลังจากรู้สึกเป็นมิตรกันแล้ว เมื่อร้องเพลงที่แต่งเองจะได้รับเงินมากขึ้นสรุปเป็นแนวคิดใหม่คือ การโต้ตอบกันเป็นสิ่งจำเป็นในการสร้างมิตรภาพ และคนไม่ได้ให้เงินเพราะร้องเพลงเก่ง แต่ให้เพราะความสัมพันธ์ประยุกต์ใช้คือ สร้างสิ่งที่มีการโต้ตอบและทำให้เกิดความสัมพันธ์ในโลกอินเตอร์เน็ต สิ่งนี้จะทำให้สามารถเพิ่มแฟนคลับและสะสมเงินได้ด้วยตัวเองอย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าในโลกความจริงเป็นต้น.(ภาพตัวอย่างการจดโน้ตแบบในหนังสือ เครดิตภาพจาก https://note.com/kabaks/n/n6dd901323298)ในภาคผนวกมีคำถามเพื่อวิเคราะห์ตัวเองทั้งหมด 1,000 ข้อ ดูเหมือนจะเป็นคำถามง่ายๆ แต่โดยส่วนตัวแล้วไม่ค่อยได้มาถามตัวเองแบบนี้หรอก พอมาเจอคำถามที่ทำให้ต้องคิดจริงจัง ทำให้ได้พิจารณาตัวเองมากขึ้น ซึ่งผู้เขียนบอกว่ามีประโยชน์กับตอนที่เขาหางาน เวลามีคนถามคำถามตอนสัมภาษณ์ ทำให้ตอบได้อย่างมั่นใจ ไม่ต้องคิดนานอีกอย่าง การวิเคราะห์ตัวเองอย่างลึกซึ้ง เป็นเหมือนเข็มทิศในการใช้ชีวิต ทำให้เราเดินไปอย่างถูกทิศทาง ซึ่งทิศทางสำคัญยิ่งกว่าความเร็วใครสนใจก็หาซื้อหาอ่านกันได้ ช่วงนี้คงต้องสั่งซื้อออนไลน์เท่านั้นนะจ๊ะ