เมื่อประมาณห้าปีก่อนผม ได้รับทุนเพื่อเดินทางไปศึกษาต่อในระดับปริญญาโทที่ประเทศอังกฤษ ในสาขา Aerospace Vehicle Design เอก Avionics Design (Avionics คือระบบที่ช่วยในการทำการบินประกอบด้วย Communication และ Navigation) เป็นเวลา ๑ ปี จากที่เคยเป็นคนที่ระดับการใช้ภาษาอังกฤษอยู่ที่กลาง ๆ ฟังออกบ้าง ไม่ออกบ้าง พูดรู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง แต่ดันได้ไปเรียนที่อังกฤษเฉย สำหรับบทความนี้จะแบ่งเนื้อหาออกเป็นเฟสตามนี้ครับ คนละครึ่งเฟสที่ ๑ ..... ขออภัยครับ เฟสแรก การสมัครเข้ามหาวิทยาลัย เฟสที่สอง การเตรียมตัวก่อนไป เฟสที่สาม ชีวิตนักเรียนนอก และ เฟสที่สี่ การเรียน มาเริ่มที่เฟสแรกกันเลยครับ แรกเริ่มเดิมทีทุนที่ผมได้รับนี่เป็นทุนของเพื่อนผมอีกคนนึงแต่ว่าเพื่อนผมคนนี้ดันติดภาระอย่างอื่นที่ทำให้ไปเรียนไม่ได้ ดังนั้นส้มก็หล่นใส่ผมลูกเบ้อเริ่มเลย อย่างที่บอกไปครับว่าเป็นทุนของเพื่อนผมหมายความว่าทุนนี้ได้รับการออกแบบเรื่อง คอสเรียนแล้วก็มหาวิทยาลัยที่จะไปเรียนไว้อยู่แล้ว ซึ่งผมก็ต้องทำตามนั้นแหละครับ ซึ่งผมมองว่าเป็นเรื่องดีครับเพราะผมไม่ต้องไปเหนื่อยหาคอสกับหาที่เรียน เรียกได้ว่าเคี้ยวมาให้ผมแล้ว ผมแค่รอกินอย่างเดียว ดังนั้นสิ่งที่ผมต้องทำก็คือการยื่นสมัครเข้าเป็นนักศึกษา (คำว่านักศึกษาที่ประเทศอังกฤษเค้าใช้คำว่า Student นะครับ ดังนั้นไม่ต้องแปลกใจที่บางทีผมอาจใช้คำว่านักเรียนหลุด ๆเข้ามาบ้าง) ของมหาวิทยาลัยนี้ มหาวิทยาลัย Crandfield University เป็นมหาวิทยาลัยที่โดนเด่นในเรื่องของการผลิตคนให้กับบริษัท Boeing หรือไม่ก็ Airbus เนื่องจากมีสาขาที่ผมเรียนนี่แหละครับ ตอนที่ผมสมัครเข้าเรียนที่นี่ครับ ผมก็ใช้ Internet กับ Computer ทีบ้านผม เข้าไปที่เว็บไซต์ของมหาวิทยาลัยแล้วก็อ่านรายละเอียดว่าเงื่อนไขในการเป็นนักเรียนของมหาวิทยาลัยนี้มีอะไรบ้าง หลัก ๆ ก็คือ เกรดเฉลี่ย ป.ตรี, คะแนนสอบ IELTS, หนังสือ Recomendation จากผู้ใหญ่หรือผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัย ส่วนรายละเอียดอื่น ๆ จะเป็นเรื่องค่าเทอม เนื้อหารายวิชาที่เรียน ที่พัก เป็นต้นครับ ถ้าทุกอย่างเข้าเงื่อนไขเป็นที่เรียบร้อยก็ดำเนินการกรอกใบสมัคร และยื่นเอกสารอื่น ๆ ทั้งหมดโดยการสแกนเอกสารให้เป็นไฟล์ pdf และส่งผ่าน e-mail ไปให้มหาวิทยาลัยทั้งหมด ซึ่งตรงนี้ครับผมลองไปถามคนทีเคยไปเรียนสหรัฐอเมริกามาว่าการสมัครของที่นู่นการยื่นเอกสารต้องส่งเป็นเอกสารตัวจริงไปให้ที่มหาวิทยาลัยโดยตรง ซึ่งก็จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอีก เฟสที่สอง เมื่อมหาวิทยาลัยตกลงที่จะรับผมเข้าเป็นนักเรียนแล้ว สิ่งที่ต้องทำต่อไปคือการเตรียมตัวออกจากอ้อมอกของภรรยาที่รักไปใช้ชีวิตโดดเดี่ยวที่ต่างแดนครับ การเตรียมตัวไปอันดับแรกที่สำคัญเลยคือจะต้องมี Passport และ VISA ครับ ในการทำ Passport ก็ไปทำได้ที่ กรมการกงศุล อยู่ที่ จ.นนทบุรี ใกล้ ๆ กับศูนย์ราชการ เมื่อได้รับเล่มแล้วก็เอาเล่มไปทำ VISA ต่อ สถานที่ทำก็อยู่ที่ อาคารเดอะ เทรนดี้ ชั้น 28 แต่ก่อนที่จะไปทำเราจะต้องลงทะเบียนและนัดวันทำ VISA ในเว็บไซต์ www.gov.uk/check-uk-visa ก่อน ส่วนรายละเอียดว่าต้องเตรียมเอกสารอะไรบ้างนี่สามารถหาได้จาก Internet ได้เลยครับhttps://www.gov.uk/government/news/24-hour-uk-visa-service-launches-in-thailand.thhttps://www.gov.uk/government/news/24-hour-uk-visa-service-launches-in-thailand.th นอกจากการเตรียม Passport กับ VISA แล้ว ยังเหลือเรื่องสำคัญอีก ๒ เรื่อง คือ ตั๋วเครื่องบิน กับ การจองที่พักที่มหาวิทยาลัย สำหรับการจองตั๋วเครื่องบินผมก็จองผ่าน Website แล้วก็ชำระเงินผ่านบัตรเครดิตนี่แหละครับ ซึ่งการบินไปอังกฤษ ก็จะมีแบบบินตรงซึ่งราคาก็จะแพงหน่อย แต่ถ้าบินแบบเปลี่ยนเครื่อง ข้อดีคือค่าตั๋วถูก แต่ข้อเสียใช้เวลานานกว่าจะถึง สิ่งที่ต้องเตรียมอีกเรื่องคือที่พักครับ สำคัญมากห้ามลืมเด็ดขาดเพราะที่นั้นอากาศหนาว นอนข้างถนนไม่ได้แน่นอนครับ สำหรับที่พักที่ผมจองไปคือบ้านแบบ share house อยู่กับเจ้าของบ้านชาวอังกฤษ กับเพื่อนชาวอิตาลีอีกสองคน ในบ้านส่วนที่เรียกได้ว่าเป็นส่วนตัวที่สุดคือห้องนอนของเราครับส่วนพวกครัว ห้องกินข้าว ห้องน้ำ ก็ใช้ร่วมกันทั้งบ้านครับ แต่ใจจริงแล้วถ้าได้หอพักในมหาวิทยาลัยน่าจะดีกว่าเพราะจะได้ลดค่าใช้จ่ายการเดินทางไปเรียนลงอีก เรื่องเสื้อผ้าไม่ต้องห่วงเตรียมไปไม่ต้องเยอะ เพราะผมได้ยินมาว่าเสื้อผ้าที่เอาจากเมืองไทยไปกันหนาวไม่ค่อยจะอยู่ ผมก็เลยไปซื้อใหม่ที่นู่นซะส่วนมาก หลัก ๆ เลยก็เสื้อกันหนาวที่ใส่ทนอุณหภูมิติดลบในช่วงหน้าหนาวได้ซักตัว และเสื้อยืดหลาย ๆ ตัว เอาไว้ใส่หลาย ๆ ชั้น หรือหาเสื้อที่เป็น Heat Tech ก็พอใส่ทดแทนเสื้อหลาย ๆ ชั้นได้อยู่ ส่วนรงเท้าก็เอาผ้าใบสภาพดี ๆ หน่อยเพราะว่าอากาศที่นู่นฝนตกค่อนข้างบ่อยและพื้นจะลื่น ดังนั้นรองเท้าดี ๆ ช่วยไม่ให้ท่านขายหน้าเพราะไปลื่นล้มได้ เฟสสาม พอทุกอย่างพร้อมแล้วก็ได้เวลาออกเดินทางไปเป็นนักเรียนนอกกับเค้าซักครั้งนึงในชีวิต ช่วงที่ผมเดินทางไปถึงเป็นช่วงเดือนสิงหาคม ช่วงนี้อยู่ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง อากาศกำลังกำลังจะหนาว อุณหภูมิอยู่ที่ราว 20 องศา เรียกได้ว่าไม่หนาวจนเกินไป ก้าวแรกที่ไปเหยียบเกาะอังกฤษ ก็มีรถจากมหาวิทยาลัยมารับ เพราะที่มหาวิทยาลัยมีบริการ ขึ้นรถปุ๊บก็เจอเพื่อนคนไทยด้วยกันอีก 3 คน ซึ่งภายหลังมาก็สนิทกันไปโดยปริยาย ในการใช้ชีวิตที่อังกฤษสำหรับผมไม่ยากเพราะผมปรับตัวง่ายอยู่แล้ว อาหารการกินก็กินอาหารถิ่นเป็นหลัก เช่น แฮม เบคอน แซนวิซ พิซซ่า (พวกอาหารยุโรปที่เรากินกันตอนอยู่เมืองไทยนี่แหละครับ) พอเบื่อ ๆ ก็แวะ Tesco (โลตัสบ้านเรานี่แหละครับแต่ที่นู่นเรียกว่าเทสโก้) ของซื้อของขายก็มีคล้าย ๆ บ้านเรา แตกต่างที่เครื่องปรุงรสบางชนิด และพวกผักผลไม้เมืองร้อนที่จะหายากหน่อย การแวะ Tesco ส่วนมากผมก็จะซื้อของสด เช่น หมู เห็ด เป็ดไก่ มาตุนไว้ในตู้เย็น แล้วก็ทำกินเอง ซึ่งประหยัดกว่าไปกินที่ร้านมาก พ้นเรื่องกินไปแล้วก็คงจะเป็นเรื่องการเดินทาง สิ่งทีต่างจากบ้านเรามาก ๆ เลยก็คือความตรงเวลา ตารางรถบัสบอกว่าเวลาไหนรถจะมาถึงก็เวลานั้นเป๊ะ แต่ก็จะมีบ้างบางครั้งที่รถเวลานั้นไม่มาเลย อันนี้ก็ถือว่าซวยมากเพราะเวลารอรถข้างนอกบ้านแล้วรถไม่มานี่เราต้องทนหนาวไปอีกกว่ารถจะมา ส่วนการเดินทางโดยรถไปนี่ก็สะดวกรวดเร็วและตรงเวลามาก จากลอนดอนมาถึงเมืองที่มหาวิยาลัยที่ผมเรียนใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง สำหรับเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ที่นี่เค้าก็ใช้จ่ายกันผ่านบัตรเดบิต หรือบัตรเครดิต ครับแทบจะเรียกได้ว่าไม่ต้องพกเงินสดกันเลยทีเดียว เหมือนที่บ้านเราเป็นกันตอนนี้นี่แหละครับ และการใช้จ่ายผ่านบัตรนี่ก็ไม่มีค่าธรรมเนียมด้วยเช่นกัน เรียกได้ว่ายืมเงินเพื่อนปอนด์นึงก็โอนกันได้ไม่ต้องกลัวว่าจะโดนเก็บค่าธรรมเนียมที่มากกว่ายอดโอน ในเรื่องการออกกำลังผมก็จะออกกำลังโดยการวิ่งรอบ ๆ หมูบ้านที่ผมอยู่รวมถึงในมหาวิทยาลัยด้วย ซึ่งครั้งแรกที่ผมไปวิ่งสำรวจในมหาวิทยาลัยก็ค้นพบว่าในมหาวิทยาลัยก็เลี้ยงวัวด้วย แถมพื้นที่รอบ ๆ ม.ก็มีแต่ทุ่งข้าวสาลีเหลืองอร่ามนี่แหละครับที่เป็นที่มาของมหาวิทยาลัยชายทุ่ง ส่วนในหน้าหนาวที่หนาวจนอากาศต่ำกว่า ๕ องศา ผมก็จะไปเข้ายิมของมหาวิทยาลัย (เสียค่าราย เดือนหรือรายปี แล้วแต่เลือก) เพราะมันหนาวจนวิ่งไม่ไหวเลยครับ แถมบางวันก็เจอหิมะอีก แล้วอากาศก็มืดไว (สี่โมงมืด) ตรงข้ามกับหน้าร้อนที่สามทุ่มก็ไม่มืดซักที แต่มีเรื่องแปลกอยู่อย่างนึงครับ ช่วง Summer ของปีถัดมาอากาศจะอยู่ราว ๆ ๒๕ องศา ถ้าเป็นบ้านเราก็คงหาเสื้อกันหนาวมาใส่ แต่อยู่ที่นู่นผมใส่แขนสั้น กางเกงยีนส์ ก็ร้อนเหงื่ออกแล้วครับ สงสัยร่างกายจะปรับตัวได้ เฟสสี่ มหาวิทยาลัยชายทุ่งที่ไม่ธรรมดา มหาวิทยาลัย Crandfield เป็นมหาวิทยาลัยที่ไม่ค่อยโด่งดังนั้นในหมู่คนทั่วไปที่จะรู้จักกับ Cramdbridge University หรือ Oxford University หรือมหาวิทยลัยอื่นที่ดัง ๆ แต่ที่ผมเรียนจะเน้นไปในเรื่องของอากาศยานมากกว่าครับซึ่งเป็นตลาดที่ค่อนข้างเล็ก ขึ้นชื่อว่าเป็นมหาวิทยาลัยที่เน้นการออกแบบอากาศยานแล้วนนี่จะบอกให้ว่าที่นี่มีสนามบินเป็นของตัวเองด้วยนะครับ นักเรียนสาขาที่ผมไปเรียนก็จะได้ขึ้นบินด้วยนะครับ เรียกได้ว่าเป็นประสบการณ์ที่หาได้ยากเลยทีเดียว (เครื่องบินที่ใช้บินไม่ใช่เครื่องบินในภาพนะครับ ในภาพจะเป็นเครื่องบิน Boeing 737-800) กลับเข้าเรื่องการเรียน คณะที่ผมเรียนเป็นคณะ Aerospace Vehicle Design ซึ่งการเรียนก็จะแบ่งเป็น ๓ กลุ่มทำงานครับ คือกลุ่ม Structure Design, System Design และ Avionics Design โดยที่เริ่มเรียน อ.จะให้โจทย์คือให้นักเรียนออกแบบเครื่องบิน ๑ ลำโดยที่ อ.จะมีร่างของเครื่องบินให้ ผมที่อยู่ Avionics Design ก็ได้ทำระบบ Communication ของเครื่องบิน ซึ่งการเรียนแบบนี้เรียกว่า Problem Base Learning ซึ่งจะมีการรายงานความคืบหน้าในการออกแบบทุกสัปดาห์ นอกจากจะทำการออกแบบเครื่องบินแล้วก็ยังต้องนั่งฟังเลคเชอร์จาก อ.หลาย ๆ ท่านด้วย แต่ผมโชคดีที่สาขาที่ผมเรียนมีการสอบน้อย แต่เน้นการเขียนรายงานแทน สรุปคือตอนเรียนจบผมเขียนรายงานประมาณ 100 หน้าอยู่ 2 เล่ม เล่มนึงคือเรื่องการออกแบบระบบ Communication กับอีกเล่มคืองานวิจัย สุดท้ายก็เรียนจบมาได้อย่างทุลักทุเลพอสมควรครับ เอาละครับก่อนที่จะเครียดไปมากกว่านี้ผมขอตัดจบบทความนี้เลยดีกว่าครับ โดยสรุปการไปเรียนครั้งนี้คือการได้ไปเรียนแบบงง ๆ แต่ก็ได้ประสบการและความรู้ และที่สำคัญคือมิตรภาพดี ๆ ที่ได้พบที่นู่น โดยเฉพาะน้อง ๆ คนไทยที่เรียนอยู่มหาลัยเดียวกัน สุดท้ายนี้ขอทิ้งคำพูดไว้ว่า "รู้อะไรไม่สู้รู้จักกัน" ครับเครดิตภาพภาพปก โดย MorningBeanภาพ Crandfield Universty โดย MorningBeanภาพ Passport: Wikipediaภาพ VISA: GOV.UKภาพวัวในมหาวิทยาลัยโดย MorningBeanภาพหิมะโดย MorningBeanภาพเครื่องบินในมหาลัยโดย MorningBeanภาพสนามบิน Crandfield : Google Map7-11 Community ห้องลับเมาท์มอยของกินของใช้ในเซเว่น อะไรดีอะไรใหม่ ต้องรู้ ต้องคุย ต้องแชร์