pixabay.com fancycraveหน้ากาก เปรียบเสมือนกับเกราะป้องกันที่ดีที่สุดและเป็นสิ่งที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับคนบางคน หากทุกคนล้วนถามว่าแล้วหน้ากากหรือหน้ากากอนามัยนั้นเกี่ยวอะไรกันกับเนื้อหานี้ ซึ่งแน่นอนค่ะว่าภายใต้บทความนี้นั้นมาจากเหตุการณ์จริงของเราค่ะ และเราเองก็อยากจะแบ่งปันเรื่องราวเล็กๆน้อยๆให้กับผู้อ่านทุกคนและก็อยากจะให้บทความนี้เป็นกำลังใจส่วนสำคัญเล็กๆในการใช้ชีวิตให้กับผู้อ่านทุกคนนะคะ^^ รูปภาพจาก : pixabay.com alexandra_kochก่อนอื่นเราก็จะขอแนะนำตัวก่อนนะคะ นามปากกาของเราคือsunshineค่ะหรือเรียกเราว่าsunก็ได้ โดยเราจะขอย้อนกลับไปยังเมื่อปีที่แล้วนะคะเมื่อตอนที่เราศึกษาอยู่ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่4 ตอนนั้นเป็นวันเปิดเทอมใหม่ๆค่ะซึ่งบวกกับทางโรงเรียนนั้นให้นักเรียน เรียนในรูปแบบผลัดกัน เลขคู่และเลขคี่ ซึ่งตอนนั้นเองเราได้อยู่ในหมวดเลขคู่ค่ะเราก็ไปโรงเรียนตามปกติเลย วันแรกที่ได้ไปโรงเรียนได้ใส่ชุดนักเรียนชั้นมัธยมปลาย มันเป็นอะไรที่น่าตื่นเต้นสำหรับเรามากๆค่ะ ในวันแรกที่เราได้เจอเพื่อนๆทุกอย่างดูปกติและโอเคมาก และเราเองก็ได้รู้จักกับเพื่อนใหม่คนนึงด้วย ซึ่งทุกอย่างนั้นดูปกติใช่ไหมละคะ แต่นั่นก็ใช่ว่าจะปกติแบบนี้เสมอรูปภาพจาก : pixabay.com ryanmcguireถึงเวลาพักกลางวันเรากับเพื่อนๆก็ไปกินข้าวกันที่โรงอาหารตามปกติ แต่ทว่าความกลัวที่สุดของเราก็มาถึง นั่นก็คือ การเปิดหน้ากาก เราต้องขอบอกก่อนเลยนะคะว่าช่วงนั้นเป็นช่วงที่เราเป็นสิวหนักมากและรอยแดงเต็มแก้มเราเลย เรากลัวและกังวลมากว่าถ้าหากถอดหน้ากากออกมาแล้ว แล้วเพื่อนๆเห็นเขาจะคิดอย่างไรกับเรานะ แต่โชคดีค่ะที่ตอนนั้นโรงเรียนยังอยู่ในระบบเว้นระยะห่างและมีกล่องกลั้นโต๊ะกินข้าว นั่นจึงทำให้เราค่อยโล่งใจขึ้นมาอีกหน่อยค่ะ แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าเราจะหลีกหนีปัญหาแบบนี้ได้ตลอดไปรูปภาพจาก : pixabay.com foundryจนในที่สุดเพื่อนของเราก็ได้เห็นหน้าจริงๆของเราค่ะ ซึ่งต้องขอบอกก่อนเลยว่าช่วงนั้นเป็นช่วงที่เราอายเพื่อนเรามากๆและไม่กล้าแม้แต่จะสบตากับเพื่อนเราเลย เวลาเพื่อนของเราพูดถึงเรื่องสิวเราแทบจะไม่กล้าตอบหรือคุยอะไรเลยเพราะมันกระทบจิตใจเรามากจริงๆค่ะ จนวันนึงเรารู้ว่ามีคนมาชอบเราเราก็รู้สึกตื่นเต้นจนลืมไปว่าตัวเองมีปัญหาอะไรที่ปิดกั้นตัวเองอยู่ จนเราเริ่มรู้จักกับเขามากขึ้นเรื่อยๆแต่ในใจเราก็เริ่มรู้สึกระแวงมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะเหตุผลเดียวที่ว่าเราไม่กล้าถอดหน้ากากต่อหน้าใครหากไม่ใช่เพื่อนสนิท แต่แล้วความคิดนั้นก็มาถึงวันนั้นเป็นคาบว่างแล้วเขาก็มานั่งเล่นข้างๆเรา พอคุยกันไปสักพักเพื่อนของเขาก็เอ่ยขึ้นมาว่า "ถอดหน้ากากให้ดูหน่อย" นั่นเป็นคำ คำเดียวที่เราได้ยินแล้วรู้สึกใจแป้วมากๆค่ะ จนตัวเรานิ่งไปสักพักนึงก่อนที่จะเรียกสติกลับคืนมาใหม่ ความรู้สึกแรกมันกลับเข้ามาอีกครั้ง จนมันทำให้เรายิ่งเกลียดตัวเองมากขึ้นที่เป็นแบบนี้ รูปภาพจาก : pixabay.com free-photosวันเวลาผ่านไปเราเองก็ยังคงปิดหน้าปิดตาแบบนี้ไปตลอด เรียกได้ว่าหากไม่มีหน้ากากอนามัยแล้วเราไม่สามารถอยู่ได้เลยจริงๆค่ะช่วงนั้น เราใช้ชีวิตภายใต้หน้ากากทุกวันๆจนมันกลายเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญสำหรับการใช้ชีวิตของเราซึ่งมันวนเวียนอยู่แบบนี้จนกระทั่งจบเทอมที่1 และส่วนความสัมพันธ์ของเรากับเขาตอนนี้เราได้เป็นแฟนกันแล้วค่ะซึ่งปัจจุบันเราก็ยังคบกันอยู่ ซึ่งเรารู้สึกโชคดีมากๆด้วยที่ได้เขาคนนี้เป็นแฟน เราขอบอกก่อนนะคะว่าถึงเรากับเขาจะเป็นแฟนกันแล้วก็จริงแต่ยังไงซะความเป็นเราก็ยังไม่หาย เรายังคงสวมหน้ากากปิดตลอดซึ่งจะมีน้อยครั้งที่แฟนจะได้เห็นหน้าของเราจริงๆ แต่สุดท้ายนั้นเขาก็โอเคและยอมรับที่เราเป็นแบบนี้ และเราก็เชื่อว่าเขาเองก็คงรู้ต้นตอและสาเหตุเช่นกัน ซึ่งเป็นแบบนี้จนกระทั่งโรงเรียนเปิดภาคเรียนที่2 แต่ทว่าเลขที่กลับมีการสลับสับเปลี่ยนค่ะ โดยเราถูกย้ายไปอยู่เลขคี่แทน แต่เราก็ยังโชคดีที่ยังมีเพื่อนสนิทอีกคนที่เลขคี่ด้วยเรารู้สึกโล่งใจมากๆค่ะบอกเลยจนในที่สุดเราก็ได้ไปโรงเรียนอีกครั้งพร้อมกับได้เจอเพื่อนคนใหม่และซึ่งหนึ่งในนั้นเองก็มีพวกกลุ่มผู้ชายที่ออกจะหัวดื้ออยู่กลุ่มนึงค่ะแต่เราจะขอไม่เอ่ยนามนะคะว่าพวกเขาคือใคร ซ้ำแล้วซ้ำเล่าที่กลุ่มพวกเขายังคงเข้าหาเรากับเพื่อนอีกคนมาโดยตลอดเพราะเหตุผลที่ว่าเขาอยากที่จะเห็นหน้าของเราเท่านั้นเอง แต่ถ้าหากเราเล่าแบบนี้เราก็กลัวทุกคนจะเบื่อเสียก่อนดังนั้นเราขอตัดไปที่เหตุการณ์นั้นเลยนะคะ วันนั้นเป็นวันที่ต้องสอบปรับคะแนนค่ะซึ่งเพื่อนสนิทของเราคะแนนไม่ผ่านเลยต้องไปแก้ เราก็เลยเลือกที่จะรอกับเพื่อนอีกคนที่ห้องเพราะเพื่อนเราฝากชาร์จโทรศัพท์ไว้พอดี เรานั่งเล่นและเฝ้ามือถือให้เพื่อนอยู่สักพัก กลุ่มผู้ชายพวกนั้นก็เดินเข้ามาที่ห้องปกติก่อนที่จะเดินเข้ามาหาเรา แล้วพูดว่า "ถอดหน้ากากออก" จังหวะนั้นเราตกใจมากๆจนเราทำอะไรไม่ถูก เพราะเสียงเด็กกลุ่มนั้นยังคงบังคับให้เราถอดหน้ากากออกเรื่อยๆ และหนึ่งในเด็กคนนั้นก็พุ่งเข้ามาจะกระชากหน้ากากเราออก แต่ดีที่เราหลบทันค่ะเราเลยรีบวิ่งออกมาจากห้องทันทีโดยมีผู้ชายคนนั้นวิ่งตามเรามาด้วย **ขอย้ำอีกครั้งนะคะว่านั่นคือเหตุการณ์ที่เราเจอกับตัวมาจริงๆ** จนเราวิ่งไปสักพักผู้ชายคนนั้นก็ตามเราทัน เขาจับเราหันแล้วกระชากหน้ากากออกทันที ความรู้สึกที่หดหู่และสิ้นหวัง กำแพงที่ก่อขึ้นมาอีกครั้งมาจิตใจมันทำให้เราร้องไห้ออกมาก่อนที่จะแย่งหน้ากากในมือเขาคืนกลับมาใส่ถึงแม้ว่าหูหน้ากากจะขาดแล้วก็ตาม เราเอามาปิดหน้าแล้วรีบวิ่งกลับเข้าไปในห้องหยิบกระเป๋าและรีบกลับบ้านทันทีค่ะเพราะเรารู้สึกว่าเราไม่ไหวจริงๆกับเหตุการณ์นี้ จนเมื่อเรากลับมาถึงบ้านเราก็เลือกที่จะไม่บอกเรื่องนี้กับใครแม้กระทั่งแฟนของเราเองเช้าวันถัดมาเรายังคงไปโรงเรียนตามปกติแล้วก็ได้เจอกับกลุ่มผู้ชายกลุ่มนั้น แต่ก็มีหนึ่งในนั้นคนนึงเดินมาหาเราแล้วบอกว่าขอโทษ ก่อนที่เราจะบอกเขากลับไปว่าไม่เป็นไร ก่อนที่เขาจะกลับไปที่โต๊ะของเขาเหมือนเดิม จากวันนี้เป็นต้นมาเขาก็เริ่มเข้าหาเรามากขึ้นมาเล่นด้วยบ่อยๆเพราะอยากไถ่โทษที่ทำให้เราต้องร้องไห้ในวันนั้น เรารู้สึกดีใจมากๆและยินดีที่จะให้อภัยเขาเสมอ^^สุดท้ายเราก็ขอจบเนื้อหานี้ถึงแม้ว่ามันจะยาวไปหน่อย แต่เราก็ตั้งใจที่จะเขียนมันขึ้นมา และหวังว่าจะเป็นเรื่องราวดีๆให้กับผู้อ่านนะคะ^^ แต่ถ้าหากปัจจุบันทุกคนถามว่าแล้วตอนนี้เรายังเป็นแบบนั้นอยู่หรือเปล่า เราขอบอกเลยค่ะว่าใช่ เรายังคงใช้ชีวิตอยู่ใต้หน้ากากเสมอเมื่อออกจากบ้าน แต่เราเพียงแค่มีความมั่นใจขึ้นมาเพิ่มนิดหน่อยมากกว่าเมื่อก่อน ถึงตอนนี้เราก็ยังคงเป็นสิวอยู่ค่ะและรอยแดงยังคงเยอะอยู่แต่น้อยกว่าเมื่อก่อนมากๆค่ะ ถึงเราจะหายแล้วเราก็คิดว่าเราคงต้องปรับการใช้ชีวิตมากขึ้นอีกเลย สุดท้ายนี้เราขอขอบคุณผู้อ่านที่น่ารักทุกคนที่อ่านบทความของเรานะคะ ขอบคุณจริงๆค่ะ>< ร่วมเสพบทความ หนัง เพลง และซีรีส์ใหม่ ๆ สุดปัง โหลดเลยที่ App TrueID ฟรี !