ตัวข้านั้นมีนามว่า 'ซังกุงพริกเผ็ด' เพิ่งเข้าวังมาเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ด้วยความที่ข้าเป็นคนชอบทำอาหารมาตั้งแต่วัยเยาว์ ข้าจึงมีประสบการณ์มากกว่าคนรุ่นราวคราวเดียวกัน กระทั่งกลายเป็นที่ยอมรับของสำนักพระราชวังและบรรดาเชื้อพระวงศ์ เมื่อเข้าวังเพียง 2 ปี ข้าก็ได้เลื่อนขั้นขึ้นมาเป็น 'ซังกุง' ซึ่งถือเป็นตำแหน่งสูงสุดในบรรดานางกำนัล ตัวข้าเองพอใจอยู่กับตำแหน่งนี้ จึงมิยอมเลื่อนตำแหน่งเป็น 'ซึงอึนซังกุง' อันเป็นศักดิ์ที่สูงขึ้นของซังกุงที่ถวายตนเป็นพระสนม แม้จะดูมีอนาคตกว่า แต่หัวใจของข้านั้นมิได้ต้องการตำแหน่งหรือความสบายใด ๆ มากไปกว่านี้ เพราะถ้าหากข้ามีตำแหน่งที่สูงขึ้น... ข้าคงมิสามารถเยื้องกรายเข้าไปปรุงอาหารในห้องเครื่องตามใจชอบดังเช่นที่เป็นอยู่ทุกวัน แม้ภายนอกข้าจะดูเหมือนคนมีความมั่นใจสูง แต่ในความเป็นจริงแล้ว ข้าเป็นคน 'ถ่อมตน' ข้ามิเคยโอ้อวดถึงความสามารถในการทำอาหารที่มีมาตั้งแต่ในครรภ์มารดา ท่านแม่บอกว่าตั้งแต่ท้องข้าได้เพียง 3 เดือน ท่านก็เอาแต่นอนกอดหม้อทองเหลืองแทนหมอนข้าง แม้ใคร ๆ ต่างก็ชื่นชมในพรสวรรค์อันหายากยิ่งนี้ แต่ข้าไม่เคยหลงตัว ว่าข้านั้นมีรสมือและเซนส์ทางด้านอาหารที่ดีเลิศกว่าผู้คนทั่วไป ท่านอาจสับสนระคนสงสัย ว่าข้าต้องการจะสื่อถึงอะไรกันแน่? เอาเป็นว่าข้าขอเข้าเรื่องเลยแล้วกัน ขอเชิญทุกท่านเปิดรับในสิ่งที่ข้าจะบอกกล่าวต่อไปนี้ หวังว่าหลังจากที่ทุกท่านรับรู้แล้วจะลองนำไปเป็นแบบอย่างโดยทั่วถึงกัน เมื่อเช้าข้าเดินไปสำรวจในตลาด และได้บังเอิญเห็นของย่างส่งกลิ่นหอมอยู่ที่ซุ้มข้างหน้า เซนส์ข้าบอกว่านี่ คือ สิ่งที่ไม่ธรรมดา เป็นของหายากในอาณาจักร นาน ๆ ทีจะมีเข้ามาจำหน่าย จึงได้ซื้อติดมือกลับเข้าวังด้วย ราคานั้นถือว่าถูกพอสมควร ข้าจ่ายเงินซื้อสิ่งนี้ไปในราคา 756.65 วอน หรือ 20 บาทไทย ( ตามอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินในวันนั้น ) ของย่างที่ว่า คือ ไส้ไก่ย่าง ปรุงรสหมักมาอย่างกลมกล่อมก่อนนำไปเสียบไม้ ย่างบนเตาถ่านด้วยไฟกลาง ผู้ย่างต้องคอยควบคุมความร้อน และจังหวะการพลิกย้ายตำแหน่ง ให้ได้รับความร้อนโดยทั่วถึง ไส้ไก่ย่างที่ดีต้องไม่สุกช้าหรือสุกเร็วเกินไป สามารถทานกับข้าวเหนียวร้อน ๆ ได้โดยไม่ต้องมีเครื่องจิ้ม จุดเริ่มต้นของเรื่องทั้งหมด คือ พระสนมอึนบีมีรับสั่งว่าต้องการเสวยยำ นางบอกว่าจะเป็นยำอะไรก็ได้ ขอเพียงให้ข้าเป็นผู้ปรุงมันด้วยตัวเอง เช่นนั้นแล้ว เพื่อให้สมพระเกียรติแด่พระสนมอึนบี ผู้เป็นดั่งดอกบานมิรู้โรยสีขาวแห่งอาณาจักร ข้าจะนำไส้ไก่ย่างไม้นี้ไปยำอะไรก็ได้ เป็นเครื่องเสวยให้แด่พระสนม มาถึงตรงนี้ หวังว่าพวกท่านจะตามข้าทันกันแล้ว... ภาพด้านบน คือ ไส้ไก่ย่างที่ข้าได้มา เป็นเรื่องแปลก... ข้ามิเคยพบเห็นใครเสียบไส้ไก่ย่างในลักษณะนี้มาก่อน ที่เคยเห็นมาตลอดมักจะพันรอบตับและกึ๋น แต่นี่คือไส้ไก่ล้วนที่วางแนบกันเป็นแนวยาว ทุกส่วนของไส้จึงได้สัมผัสกับความร้อนทำให้มีผิวสัมผัสกรุบกรอบไปทุกส่วน ส่วนประกอบยำอะไรก็ได้ มีดังนี้ ไส้ไก่ 1 ไม้ ประมาณ 1+1/2 ถ้วยตวง หอมหัวใหญ่ 1 ลูก ข้าใช้หอมหัวใหญ่พันธุ์เปลือกขาว ปาท่องโก๋ 3 คู่ ได้แก่ รสชาร์โคล 2 คู่ และรสธรรมดา 1 คู่ ซึ่งข้าได้จากมาจากองค์ชายคิมดงฮี ( กิ๊ก ) มะเขือเทศเชอร์รี่ 1 กำมือ หรือประมาณ 10 ลูก น้ำจิ้มหมูกระทะ 1 ถ้วยตวง ข้าใช้ของตรา aro เพราะถูกและรสชาติกลมกล่อมแบบคนในรั้วในวัง น้ำหนักสุทธิ 1,000 กรัม ราคาเพียง 1512.96 วอน หรือ 40 บาทไทยเท่านั้น เม็ดมะม่วงหิมพานต์อบ 1 กำมือ ขั้นตอนการทำ คือ รูดไส้ไก่ออกจากไม้อย่างเบามือ ระวังลวดที่มัดตรงปลายไม้จะติดมาด้วย หั่นหอมหัวใหญ่เป็นวง ๆ แล้วแยกวงออกจากกัน จุดประสงค์ คือ เพิ่มปริมาณ หั่นปาท่องโก๋จากองค์ชายคิมดงฮีเป็นท่อน ๆ ขนาดพอป้อน ไม่ต้องทำอะไรกับมะเขือเทศเชอร์รี่ 5. ใส่ทุกอย่างลงในอ่างผสม 6. ค่อย ๆ เทน้ำจิ้มหมูกระทะลงไปช้า ๆ จนหมดถ้วย แล้วใช้นิ้วชี้ปาดขอบถ้วย ยกนิ้วขึ้นดูดเพื่อซึมซับรสชาติ ขั้นตอนนี้สำคัญ พวกท่านควรจำให้ขึ้นใจ 7. เคล้าน้ำจิ้มให้เข้ากันกับวัตถุดิบในอ่าง จากนั้นโรยปาท่องโก๋แล้วเคล้ากันเบา ๆ อีกรอบ แค่พอให้น้ำจิ้มหมูกระทะเคลือบปาท่องโก๋เพียงบางส่วนก็พอ 8. เทยำใส่จาน โรยด้วยเม็ดมะม่วงหิมพานต์อบเกลือทะเล ที่องค์รัชทายาทย์ทรงพระราชทานมาให้อย่างลับ ๆ ( มากกว่าเพื่อน แต่ก็ไม่ใช่แฟน ) สุดท้าย ข้าเลือกใบโหระพามาแต่งให้ยำมีสีสันน่ารับประทานมากขึ้น รสชาติยำ สำหรับข้าแล้วนับว่าพอดิบพอดีตามแบบคนในรั้วในวัง คือ มีหวานนำ แต่ไม่หวานจัด เผ็ดระดับกลาง พระธิดาของพระสนมอึนบึ ( 5 ชันษา ) ก็สามารถเสวยได้ ที่สำคัญ คือ ไม่มีรสเปรี้ยวนำดังเช่นยำทั่วไป เป็นความครบเครื่องที่ดูเหมือนจะซับซ้อน ทว่าเข้าถึงง่ายกับทุกชนชั้น วัตถุดิบเข้ากันได้ดีทั้งหมด ยามเมื่อเคี้ยวไส้ไก่ มีความหอมมันและไม่คาวเลยแม้แต่น้อย จังหวะที่รสชาติน้ำยำเริ่มจาง ก็มีรสชาติที่แท้จริงของไส้ไก่หมักตามมาติด ๆ อีกความทั้งเผ็ดซ่าแต่ออกหวานของหอมหัวใหญ่หั่นเป็นวง ๆ ที่กินยากเสียจนพระสนมอึนบีต้องเสียกิริยา และทรงหันมาตรัสกับข้าว่า ซังกุงพริกเผ็ด หากคนเราคิดการสิ่งใดแล้ว ก็มิเห็นบังควรต้องทำให้ผู้อื่นลำบากไปด้วย แต่ก็ต้องยอมรับว่า หอมใหญ่ที่ใส่ลงไปมันช่วยตัดรสแก้เลี่ยนให้กับเมนูนี้เป็นอย่างดี จากนั้นตักมะเขือเทศเข้าปากสักลูกเพื่อกระตุ้นต่อมรับรสให้มากขึ้น มะเขือเทศเชอร์รี่ที่ได้มาวันนี้สดมาก จนกัดแล้วแตกโพละในปาก รู้สึกท้าทายไปอีกแบบ ปิดท้ายด้วยเม็ดมะม่วงหิมพานต์เพิ่มความกรุบมัน อื้อหือ! หวังว่าตำรับปรุงยำด้วยน้ำจิ้มหมูกระทะนี้จะถูกใจทุกท่าน ข้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกท่านที่ได้อ่านบทความนี้จะนำไปทำตาม มิแน่ว่านี่อาจกลายเป็นสำรับอันเลื่องลือ ประจำตระกูลของพวกท่านก็เป็นได้ ลำบากทุกท่านแล้ว... เครดิตภาพ : พริกเผ็ด(ผู้เขียน)