ดัมมะหยั่นจี วิหารที่ใหญ่ที่สุด แข็งแรงที่สุด และบาปมหันต์ที่สุดของอาณาจักรพุกาม รถแวนพาพวกเราตะลุยฝ่าทะเลเจดีย์ไปตามทางที่เต็มไปด้วยฝุ่นดิน ท่ามกลางความร้อนระอุของเวลาใกล้เที่ยง ฉันไม่แน่ใจว่าทางที่รถวิ่งอยู่จะสามารถเรียกว่า ถนน ได้หรือเปล่า แต่ก็มีรอยล้อรถที่บดผ่านไปแล้วของคันก่อนหน้าพวกเราตรงเบื้องหน้า เป็นเครื่องยืนยันว่ามันคือถนน ฉันมองผ่านแว่นกันแดดไปตามซุ้มต้นไม้แห้งแล้งที่รถของเราทะลวงแล่นผ่าน ก่อนหัวใจจะเต้นระรัวเมื่อภาพเบื้องหน้าคือวิหารดำทะมึน ตั้งตระหง่านท่ามกลางแสงแดดจ้า และเรากำลังจะไปถึงอีกแค่ไม่กี่อึดใจ แม้จะมีนักท่องเที่ยวมากมาย ทั้งคนและรถพลุกพล่าน ทว่า ดัมมะหยั่นจี กลับกำลังประกาศตัวตนแห่งความยิ่งใหญ่อย่างไม่กริ่งเกรงกาลเวลาที่ผ่านล่วงเลยมาแล้วนับหลายร้อยปี ฉันยืนมองความยิ่งใหญ่ของวิหารที่อยู่เบื้องหลังแนวเสากั้นอย่างตะลึงปนปลาบปลื้มใจกับการที่ได้มาเยือนในครั้งนี้ ซุ้มประตูทางเข้ากอปรรวมด้วยอิฐสีส้มเป็นล้านๆ ก้อน เหมือนกำลังดูดเราเข้าไปยังอีกโลก อาจเพราะด้วยประวัติและความน่าสนใจตั้งแต่แวบแรกที่ได้เห็นรูปจากอินเตอร์เน็ต ที่ทำให้ฉันบอกตัวเองว่าต้องมาที่นี่ให้ได้สักครั้งในชีวิต (ประตูทางเข้าวิหารดัมมะหยั่นจี) (เดินเข้ามาด้านในหน่อย จะเจอตู้ใส่รองเท้า เราต้องถอดรองเท้าเอาไว้ในตู้นี้ก่อนเดินเท้าเปล่าเข้าไป) (แม่กับพ่อแวะถ่ายรูปก่อนเดินเข้าไปเยี่ยมชมด้านใน) ตำนานลูกฆ่าพ่อแล้วสร้างวิหาร สร้างเจดีย์เพื่อไถ่บาป คงมีอยู่หลายแห่งในโลก ไม่ใช่แค่เฉพาะบ้านเรา ฉันนึกถึงตำนานของพระปฐมเจดีย์ และพระประโทนเจดีย์ เป็นเรื่องของพระยากง ผู้เป็นพ่อ ถูกพระยาพาล ผู้เป็นลูกกระทำปิตุฆาต และได้สั่งประหารยายหอม ซึ่งเป็นผู้เลี้ยงดูตนมาเสมือนลูกในไส้ด้วยเช่นกัน ต่อมาด้วยความเกรงกลัวบาปจะติดตามตามตัวตนไป จึงได้สร้างพระปฐมเจดีย์เพื่ออุทิศให้พ่อ และสร้างพระประโทณเจดีย์เพื่ออุทิศให้ยายหอม แต่ถึงจะสำนึกเกรงกลัวบาปกรรมมากแค่ไหน ต่อให้สร้างเจดีย์สูงเท่านกเขาเหินเพื่อล้างบาป จนบัดนี้ พระยาพาลจะยังชดใช้กรรมที่ก่อไว้หมดหรือยังก็ไม่รู้ มหาวิหาร ดัมมะหยั่นจี (Dhammayan Gyi Temple) อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองพุกาม สาธารณรัฐสหภาพพม่า สร้างในสมัยของ พระเจ้านะระตู หรือ พระเจ้ากลักยามิน แปลว่า กษัตริย์ที่ถูกแขกฆ่า (ระหว่างปีค.ศ. ๑๑๖๗–๑๑๗๐) เป็นกษัตริย์ลำดับที่ ๕ แห่งราชวงศ์พุกาม ดัมมะหยั่นจี เป็นวิหารเดียวในประวัติศาสตร์พม่า ที่ต้องเกณฑ์แรงงานของประชาชนมาสร้างอย่างกดขี่ห่มเหง เป็นผลให้ประชาชนล้มตายเป็นจำนวนมาก ที่นี่ก่อสร้างตามแบบแผนทำนองเดียวกับ อนันดา พะยา (Ananda Temple) หรือ อานันทวิหาร ศาสนสถานอีกแห่งในเมืองเดียวกัน ตามข้อมูลบางแหล่งระบุว่า พระเจ้าอลองสินธู (พ่อ) เป็นผู้สร้าง แต่ก็สร้างไม่เสร็จ เพราะโดนพระเจ้านะระตู (ลูก) กระทำปิตุฆาตเสียก่อน เมื่อพระเจ้าอลองสินธูสร้างไม่เสร็จ เหลือเพียงการสร้างตกแต่งทางเดินชั้นใน เพราะสิ้นพระชนม์เสียก่อน พระเจ้านะระตูไม่ยอมสร้างต่อให้เสร็จ ทรงมีรับสั่งให้ก่ออิฐปิดทางเดินชั้นในเพื่อไม่ให้ใครเข้าไป ต่อมาภายหลังมีนักโบราณคดีของพม่า ได้ทำการขุดทะลุทางเดินชั้นในเข้าไป แต่ก็ไม่พบอะไร แต่บางแหล่งกลับระบุว่า พระเจ้านะระตูเป็นผู้สร้างวิหารนี้เพื่อไถ่บาป หลังจากที่พระองค์นั้นได้ทรงปลงพระชมน์พระราชบิดาและพระเชษฐา (พี่ชาย) จนสิ้นพระชนม์ชีพหมดแล้วจึงครองราชย์ หลังจากนั้นพระองค์ทรงเกรงว่าผลกรรมจากการกระทำปิตุฆาต จะติดตามพระองค์ไปในชาติภพหน้า พระองค์จึงสร้างวิหารนี้ขึ้นหวังเพื่อล้างบาป แต่เพราะบาปกรรมของพระองค์ ทำให้ไม่มีประชาชนศรัทธามาร่วมสร้าง จึงต้องเกณฑ์แรงงานมาอย่างกดขี่ข่มเหง นอกจากประชาชนจะได้รับความเดือนร้อนแล้ว ก็ยังมีคนล้มตายมากมายจากการก่อสร้างครั้งนี้ (ซุ้มประตูเล็ก ที่แม้จะผุพังไปตามกาลเวลา แต่ก็ยังเผยให้เห็นความงาม และก้อนอิฐที่เรียงต่อกันแน่นขนัดจนแทบไม่มีช่องว่างใดๆ และในปัจจุบันนี้ ที่นี่ยังคงได้รับการดูแลรักษาอย่างดีโดยรัฐบาลและประชาชนมาตลอด) ตามพระราชปณิธานของพระองค์ มีพระราชประสงค์ให้เป็นวิหารที่มีขนาดใหญ่ที่สุด แข็งแรงที่สุด และสวยงามที่สุดกว่าอานันทวิหาร และเจดีย์สัพพัญญู อิฐทุกก้อน พระเจ้านะระตูล้วนเป็นผู้กำกับดูแลการก่อสร้างด้วยพระองค์เอง ถึงขั้นว่าการวางศิลาและอิฐทุกก้อน ต้องชิดและแน่นที่สุด แม้ประตูก็ก่อด้วยอิฐเป็นวงโค้งจนเกือบไม่เห็นรอยต่อ หากมีส่วนใดที่แม้แต่เข็มเล็กๆ สักเล่มรอดผ่านได้ จะทำการปลดและเปลี่ยนช่างก่อสร้างทันที และตามข้อมูลบางแหล่งยังระบุอีกว่า พระองค์ถึงขั้นสั่งประหารชีวิตช่างก่อสร้างเลยก็มี (แม้จะผ่านการทำนุบำรุง ซ่อมแซมรักษามาแล้ว แต่เราก็ยังสามารถเห็นการก่ออิฐที่แน่นชิดติดกันไปทั้งหมดจริงๆ ) แต่การฆ่าบิดามารดานั้นเป็นบาปมหันต์ และร้ายแรงเกินกว่าผลบุญกุศลของการสร้างวัดสร้างเจดีย์จะลบล้างได้... สุดท้ายพระเจ้านะระตู ก็ถูกลอบปลงพระชนม์จากชาวสิงหล ในขณะที่งานก่อสร้างวิหารยังดำเนินอยู่ ผลจึงทำให้วิหารดัมมะหยั่นจีก่อสร้างไม่เสร็จ (พระพุทธรูปที่ตั้งประดิษฐานอยู่ด้านใน) (ซุ้มโค้งต่างๆ ที่ผุพังตามกาลเวลา เผยความปราณีตของช่างและความเข้มงวดในการคุมงานของพระเจ้านะระตูในสมัยนั้น) แม้ฉันจะตระหนักได้ถึงความเป็นคนจิตใจโหดเหี้ยมของกษัตริย์พระองค์นี้ แต่ก็อดที่จะชื่นชม และทึ่งกับความงาม ความแข็งแรงที่เกิดจากการอัดแน่นไปด้วยอิฐหลายล้านก้อนของดัมมะหยั่นจีไม่ได้ แม้จะสร้างไม่เสร็จตามพระราชปณิธานของพระเจ้านะระตูก็ตาม (ทางเดินด้านใน ที่มืดมิด มีหน้าต่างรับแสงอาทิตย์ในบางจุด พานทำให้ฉันอุปมาอุปไมยไปถึงความดำมืด และความเย็นชาในจิตใจของกษัตริย์องค์นี้ แม้จะค่อนข้างมืดสักหน่อยแต่ก็เย็นสบาย แย่ก็ตรงที่ภายในอวลไปด้วยกลิ่นฉี่ค้างคาว) และแม้ข้างนอกอากาศจะร้อน แต่ข้างในกลับเย็นสบาย คงเพราะศิลาที่ใช้ก่อสร้าง ทว่ากลิ่นฉี่และมูลค้างคาว ก็พาให้อึดอัดเวียนหัวจนอยากจะอาเจียนอยู่เหมือนกัน สมาชิกในทริป โดนฉี่ค้างคาวเล่นงานไปหลายดอก แต่พวกเราก็ยังแวะถ่ายรูปตามมุมต่างๆ กันอย่างไม่มีถอย พื้นใต้ฝ่าเท้าที่เราเดินแม้จะขรุขระ แต่ก็พบว่าพื้นผิวเป็นมันลื่นเดินไม่ลำบากเท้า เพดานสูงลิบที่มองขึ้นไปแทบมองไม่เห็นอะไรเลย (ช่องลม หรือ หน้าต่างที่เราสามารถมองเห็นวิวด้านนอก ซึ่งเหมือนอยู่กันคนละโลกในวิหารที่มืดมนนี้) น่าเสียดายเป็นอย่างมาก รอบที่พวกเราไปเยือน ทางรัฐบาลได้สั่งห้ามไม่ให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปยังชั้นบนของโบราณสถานเกือบทุกแห่งในกุพาม รวมถึงที่ดัมมะหยั่นจีนี่ด้วย เนื่องด้วยโบราณสถานหลายที่เริ่มชำรุดพุพัง เพราะการปล่อยให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปปีนป่าย นั่งชมวิวและถ่ายรูปมาโดยตลอดเมื่อก่อนหน้านี้ พวกเราเดินเวียนกันจนทั่ว หยุดไหว้พระตามมุมต่างๆ แต่ละมุม พระพุทธรูปก็แตกต่างกันไป บนผนังบางส่วนยังทิ้งร่องรอยของการเคยมีจิตกรรมฝาหนังที่งดงามเปี่ยมไปด้วยมนต์ขลัง (บางส่วนของภาพจิตกรรมฝาผนังที่ยังคงหลงเหลืออยู่) (พระพุทธรูปปางไสยาสน์ ประดิษฐานอยู่ด้านหลังพระพุทธรูปแฝด) ก่อนจะเดินกลับไป เราเจอมุมแขวนตุ๊กตาหุ่นกระบอกของพม่าอยู่มากมาย เลยพากันเข้าไปถ่ายรูป แอบคิดว่าเขาก็ทันสมัย มีจัดมุมไว้ให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูปด้วย แต่กลายเป็นว่า มุมนี้เป็นส่วนหนึ่งของร้านขายที่ระลึก โดยมีตุ๊กตาหุ่นกระบอกเป็นพระเอก (ถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก ตอนแรกคิดอยากจะซื้อกลับมาไทยด้วย แต่รู้สึกกลัวเลยไม่กล้าซื้อกลับมา) ขอปิดท้ายบทความ ด้วยรูปของตุ๊กตาตัวที่ชอบๆ ก็แล้วกัน ;) ภาพถ่าย: โดยผู้เขียนค่าเดินทาง: เช่าเหมารถตู้ตลอดทริป ตกวันละ 150 USD (รวมหมดทุกอย่างแล้ว ทั้งค่าอาหารและค่าที่พักของคนขับ ไม่รวมทิป)ค่าเข้าสถานที่: ฟรี