ดำดิ่งเมืองบาดาล...จักรวรรดิไบแซนไทน์ เมืองอิสตันบูล ประเทศตุรกี ในวันที่ผู้คนจอแจ รถยนต์และรถรางวิ่งกันขวักไขว่ ภายใต้เมืองที่ทันสมัย ผังเมืองเดิมที่ถูกสร้างไว้ตั้งแต่อดีตยังทำให้เห็นถึงความสำคัญของการจัดการน้ำ ด้วยสมัยก่อนมีการสู้รบทำให้ต้องมีการกักเก็บน้ำไว้ในตัวเมือง ขณะที่ข้าศึกยังล้อมรอบกำแพงเมือง นั่นจึงเป็นเหตุที่ทำให้เกิด “เมืองบาดาล” ที่รู้จักกันในนามอุโมงค์เก็บน้ำเยเรบาตัน (Yerebatan Sarnici) บันไดพาเราสู่ชั้นล่าง ที่สัมผัสได้ถึงความชื้น อุโมงค์เก็บน้ำใต้ดินนี้ สร้างราวศตวรรษที่ 6 สมัยจักรพรรดิจัสติเนียน แห่งจักรวรรดิไบแซนไทน์ ที่สืบเชื้อสายต่อจากจักรวรรดิโรมัน และได้ประยุกต์เทคนิคการก่อสร้าง ที่พัฒนาสู่การเป็นอุโมงค์กักเก็บน้ำอันคงทน ชั้นล่างเป็นห้องโถงโล่ง เรียงรายด้วยเสาที่ค้ำยันกับพื้นไปถึงเพดาล คลอบคลุมพื้นที่ 9,800 ตารางเมตร มีเสาหินเรียงราย 336 ต้น ความสูงต้นละ 9 เมตร จุน้ำได้ 80,000 ลบ.ม. คาดว่าต้องใช้ทาสในการสร้างกว่า 7,000 คน แต่หลังจากจักรวรรดิไบแซนไทน์ ล่มสลาย อุโมงค์นี้ถูกทิ้งร้าง จนมีชาวบ้านมาหาปลาและพบเข้า มองในภาพรวมการวางผังเมืองเก่าของอิสตัลบูล นักโบราณคดีมีการค้นพบท่อส่งน้ำจากนอกกำแพงเมืองมายังด้านใน ส่วนอุโมงค์นี้นำน้ำมาจากแหล่งน้ำในพื้นที่ป่า ลำเลียงผ่านสะพานส่งน้ำกว่า 19 กิโลเมตร และน้ำจากรถม้าที่บรรทุกมาเติม จนทำให้บางคราวระดับน้ำสูงจนจรดเพดาลอุโมงค์ ความน่าสนใจของการออกแบบอยู่ที่เสาหินที่เรียงรายเป็นแนว คาดว่ารื้อมาจากการสิ่งก่อสร้างของเมืองเก่า เห็นได้จากเสามีการต่อให้สูงเสมอกัน ขณะที่หัวเสาแต่ละต้นตกแต่งลวดลายเสาแบบคอรินเทียน ตามสไตล์ของชาวโรมัน จนอาจเชื่อมโยงได้ว่า จักรวรรดิไบแซนไทน์ ได้รื้อเสาพวกนี้มาจากสิ่งก่อสร้างเดิมของชาวโรมัน แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะอย่างที่รู้กันว่า “ทำใหม่บางทีง่ายกว่าซ่อมของเดิม” แต่เสาในอุโมงค์นี้หลายจุดรอยต่อของเสาถูกเชื่อมต่อ และขัดให้เสมอกันอย่างแนบเนียน แสดงให้เห็นฝีมือของช่าง แม้ผ่านกาลเวลามายาวนานยังคงทน ส่วนพื้นด้านล่างปัจจุบันยังมีน้ำ และปลาแหวกว่ายให้เห็น ที่น่าสังเกตตัวพื้นของอุโมงค์มีการปูด้วยพื้นหินเหมือนวิหารเก่า เช่นเดียวกับเพดาลที่ทำเป็นรูปทรงโดมโค้งเรียงด้วยอิฐโบราณ ดูแล้วคนที่ออกแบบจงใจให้ห้องโถงนี้ถูกปิดทึบด้วยเทคนิคของปูนโบราณ เพราะเท่าที่เดินดูเราแทบจะไม่เห็นช่องว่างที่เป็นชั้นดินนัก แต่เสาโบราณที่ทุกคนต้องแวะมาชมคือ เสาดวงตานกยูง ที่มีการแกะสลักไว้โดยรอบเสา และเสาที่แกะสลักเป็นรูปหัวของ “เมดูซา” ที่เป็นฐานล่างของเสา มีทั้งแบบกลับหัวและตะแคง ซึ่งคนที่นี่เชื่อว่าเป็นการแก้เคล็ด เนื่องจากตำนาน “เมดูซา” ถ้ามองใครคนนั้นจะกลายเป็นหิน แต่พอ “เมดูซา” อยู่ส่วนฐานล่างของเสา เชื่อว่า เธอจะอยู่เฝ้าอุโมงค์นี้ตลอดไป และเมื่ออุโมงค์นี้ถูกค้นพบ คนทั่วโลกก็เดินทางมาชมความงามของเธอ เทคนิคการออกแบบ “อุโมงค์เก็บน้ำเยเรบาตัน” ถึงผ่านพ้นมากี่ยุคสมัย ด้วยโครงสร้าง และเทคนิคด้านงานก่อสร้างที่แข็งแกร่ง ได้สะท้อนความเป็นจริงของมนุษย์ ในการออกแบบสร้างเมืองที่ต้องคำนึงถึงแหล่งน้ำ **CR ทุกภาพถ่ายโดยผู้เขียน