Prison Break ซีรีส์ชื่อดังที่ครองใจคนมาทั่วโลก ฉายตอนแรกในปี 2005 (2548) ซึ่งนับปีดูแล้วก็เป็นเวลาราวๆ 15 ปี ถ้าเปรียบเป็นคนก็กำลังโตเป็นหนุ่มเป็นสาวเลยทีเดียว แต่เชื่อหรือไม่ว่า แม้ซีรีส์จะเก่าแค่ไหน นักแสดงจะเปลี่ยนไปอย่างไร เนื้อหาและแง่คิดที่ได้ของซีรีส์เรื่องนี้ไม่เคยเก่าตามกาลเวลาเลยเรื่องราวของ “ไมเคิล สกอร์ฟิลด์” ที่วางแผนก่อคดีปล้นให้ได้เข้าคุกเดียวกับพี่ชาย “ลินคอร์น” เพื่อหวังพาเขาแหกคุกออกไปให้ได้ก่อนวันประหารมาถึง ซึ่งความรักและเชื่อมั่นในตัวพี่ชาย ทำให้หนุ่มวิศวกรอนาคตไกลต้องยอมทิ้งชีวิตเพื่อทวงความบริสุทธิ์คืนให้พี่ชายของเขาแม้ฟังดูเป็นพล็อตเรื่องพื้นๆ แต่ตัวซีรีส์มีชั้นเชิงและมิติที่มากกว่านั้น โดยเสน่ห์ของเรื่องนี้อยู่ที่ภาคแรก ที่เกี่ยวกับการวางแผนแหกคุก โดยมีรอยสักทั่วตัวไมเคิล ใช้แทนพิมพ์เขียวของเรือนจำเป็นตัวแปร ทั้งยังต้องรับมือกับคนในคุกและอาศัยความช่วยเหลือจากคนนอกคุก อีกหนึ่งตัวแปรสำคัญที่ขาดไม่ได้ คือนักโทษและผู้คุมบางส่วน ที่จะช่วยให้แผนการสมบูรณ์ได้ เขาต้องผูกมิตรและใช้ความเชื่อใจกับเพื่อนนักโทษด้วยกัน แม้จะหาได้ยากแต่กลับจำเป็นมากที่สุด เพราะเขาไม่สามารถทำมันได้คนเดียวถ้าไม่มีคนช่วย หลายครั้งที่แผนไม่เป็นตามหวัง แต่ไมเคิลก็ใช้ความฉลาดและไหวพริบแก้ปัญหาให้ออกมาดีที่สุด ซึ่งนี่ก็เป็นจุดที่ทำให้เราติดตามจนจบได้นั่นเอง สำหรับประเด็นของซีรีส์เรื่องนี้ มันก็เริ่มจากจากจุดเล็กๆ ของสังคมคือ “สถาบันครอบครัว” (ไมเคิลและลินคอร์น) ต่อยอดขยายผลไปสู่เรื่องราวการทุจริตระดับชาติขององค์กรลับและรัฐบาล ตัวละครไมเคิลและลินคอร์น สองพี่น้องที่ไม่มีใครรู้จัก ต้องกลายเป็นหมากตัวหนึ่งของแผนการลับ ด้วยจุดประสงค์ที่ซับซ้อนเรื่องผลประโยชน์ ซึ่งลินคอร์นก็โชคร้ายที่กลายเป็นแพะรับบาป โดยคู่กรณีคือบุคคลสำคัญระดับชาติ ขณะที่คนรอบตัวศูนย์ศรัทธาในตัวเขา แต่ไมเคิลไม่คิดแบบนั้น เขาค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับเรือนจำให้มากที่สุดและวางแผนพาพี่ชายหนี ซึ่งมันก็กลายมาเป็นแง่คิดสำคัญให้เราได้คิดตาม ทำไมไมเคิลหนุ่มวิศวกรจึงเลือกต่อสู้ด้วยการพาพี่ชายหนี มากกว่าการใช้วิธีสู้คดีตามกฎหมาย ? เราเชื่อว่าหลายคนมีคำตอบ เพราะการสู้คดีนั้น เขารู้ตัวว่าไม่มีทางชนะ โดยเฉพาะยิ่งคู่กรณีเป็นบุคคลสำคัญที่มีตำแหน่ง สุดท้ายจึงเลือกใช้วิธีนอกกฎหมายเพราะคิดว่ามันมีโอกาสมากกว่า แม้ต้องแลกกับการต้องหนีตลอดชีวิตก็ตามท่ามกลางความยุติธรรมที่หมิ่นเหม่ ผู้คนเลือกฟังความข้างเดียว เพียงเพราะเสียงนั้นมัน “ดังกว่า” รวมถึงผู้พิพากษาที่ไม่เป็นกลาง ตัวลินคอร์นที่เป็นเพียงมือถือรับจ้าง สู้คดีอย่างไรใครจะมาสนทั้งนี้แรกเริ่มเดิมที ไมเคิลหวังเพียงช่วยพี่ชายหนีออกนอกประเทศให้ได้เท่านั้น แต่มันกลายเป็นการต่อสู้นอกศาลที่ดุเดือด แลกกับชีวิตคนบริสุทธิ์หลายคน ทำให้การหนีอย่างเดียวไม่เพียงพอ เขาต้องตอบโต้กลับและเปิดโปงองค์กรลับนี้ให้ได้ โดยผลลัพธ์ของการ “แหกคุก” เพื่อคืนอิสรภาพให้พี่ชาย กลับกลายเป็นการกลางปีกแห่งความยุติธรรมขึ้นมาในสังคมอีกครั้ง เพียงเพราะคนหนึ่งคนไม่เพิกเฉยต่อความอยุติธรรม นำไปสู่การตีแผ่และเปิดโปงองค์กรลับที่อยู่เบื้องหลังรัฐบาล นับเป็นพลังของการต่อสู้ที่เริ่มจากจุดเล็กๆ แต่กลับส่งผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ ที่ถ้าเป็นไปได้เราอยากให้มันเกิดขึ้นจริงในสังคม เพราะบางครั้งคนเรามักกลายเป็นกลุ่มคนที่เพิกเฉยต่อเหตุการณ์ใด เหตุการณ์หนึ่ง เพียงเพราะความเดือดร้อนนั้นมันไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรกับตัวเอง และล่าสุดนี้ แอบเห็นข่าวการทำ Prison Break Season 6 ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นข่าวจริงหรือไม่ อย่างไรก็ตามก็ต้องติดตามกันต่อไปนะคะ ขอบคุณภาพจาก IMDBภาพปกภาพประกอบ 1, 2, 3, 4, 5