ใกล้จะสิ้นปีแล้วเชื่อว่าช่วงนี้หลายคนกำลังวางแผนเดินทางกลับบ้านที่ต่างจังหวัดกันอยู่ ส่วนตัวเลือกในการเดินทางนั้นก็มีหลากหลาย แต่เชื่อว่าตอนนี้คงไม่มีอะไรสะดวกและรวดเร็วเท่ากับการเดินทางด้วยเครื่องบินอีกแล้ว ก็เลยนำเอาเทคนิคในการเดินทางด้วยวิธีนี้มาบอกกัน ทำตามได้แต่ไม่ต้องทำทั้งหมดเพราะตอนท้ายมีเรื่องให้ได้เซอร์ไพรส์ เริ่มต้นด้วยการเลือกสายการบิน อย่างที่บอกไปแล้วว่าเครื่องบินกลายเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ ของใครหลายคนรวมถึงตัวผมเองด้วย เพราะตั้งแต่มีบริการของสายการบินโลว์คอสต์ขึ้นมา ผมก็ไม่เลือกเดินทางกลับบ้านเกิดที่เชียงใหม่ด้วยวิธีอื่นอีกเลย แต่สายการบินแบบนี้มีข้อเสียอยู่อย่างหนึ่งนั่นก็คือ ต้องเดินทางไปขึ้นที่สนามบินดอนเมืองเท่านั้น มันก็เลยเป็นภาระผมคนเดินทางที่ต้องเผื่อเวลาในการเดินทางไปดอนเมือง ที่ขึ้นชื่อเรื่องรถติดเป็นอันดับต้นๆ ของคนกรุงเทพฯ โลว์คอสต์หนึ่งเดียวแห่งสุวรรณภูมิ แต่คุณรู้ไหมว่ามีสายการบินโลว์คอสต์แห่งหนึ่ง ที่ทำการเทคออฟและแลนดิ้งที่สนามบินสุวรรณภูมิ หนึ่งเดียวที่ว่านั้นก็คือ สายการบิน “เวียตเจ็ท” สายการบินที่ให้คุณจ่ายในราคาไม่ถึงพันบาท แต่ได้ขึ้นเครื่องที่สนามบินไฮโซที่สุดของประเทศ ใช่แล้วผมเลือกสายการบินนี้เป็นสายการบินประจำในการเดินทางกลับบ้านในทุกเทศกาล ได้ขึ้นเครื่องที่สุวรรณภูมิดีตรงไหน การเลือกขึ้นเครื่องที่สนามบินสุวรรณภูมิสำหรับผมแล้วมีเหตุผลคือ การเดินทางนั้นทั้งสะดวกรวดเร็วแถมยังประหยัดเงินอีกต่างหาก เมื่อมีตัวเลือกในการเดินทางอย่างแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ หรือที่เรามักจะเรียกกันติดปากว่า “แอร์พอร์ตลิงก์” ให้ใช้ ผมก็โฟกัสทุกไฟท์ที่สนามบินแห่งนี้กันเลยทีเดียว ก็ทำไมจะไม่หละครับ ผมจ่ายเงินแค่ 30 บาทบวกกับการใช้เวลาเพียงแค่ 20 นาที มันก็พาผมเข้าไปส่งถึงชั้นใต้ดินของสนามบินแล้ว ทุกอย่างลงตัวแต่ก็ไม่วายมีเรื่องเซอร์ไพรส์ แล้ววันเดินทางก็มาถึง ผมทำการจองตั๋วเครื่องบินของสายการบินเวียตเจ็ทเพื่อเดินทางกลับบ้านเกิดตามแผนที่วางเอาไว้ ด้วยความมั่นใจว่าที่พักอยู่ใกล้กับสถานีของแอร์พอร์ตลิงก์ ก็เลยไม่ต้องรีบร้อนในการเดินทาง เพราะคิดเอาไว้ว่ายังไงก็ไปถึงสนามบินทันเวลาแน่นอน แต่เรื่องไม่คาดฝันเรื่องแรกก็เกิดขึ้น เมื่อเหลือบตาขึ้นไปดูบนจอที่แสดงเวลาของการเข้าสู่ชานชาลาของขบวนรถไฟที่กำลังจะมา มันนานมากกว่าวันธรรมดาเพราะวันที่ผมกำลังเดินทางอยู่นี้เป็นวันหยุด ทำให้เวลาทิ้งช่วงของแต่ละขบวนนานกว่าวันทำงาน งานนี้ไปถึงช้ากว่าที่คิดเอาไว้แน่ๆ แต่ไม่เป็นไรยังพอมีเวลา เมื่อเดินทางไปถึงชั้นใต้ดินของสนามบินอย่างที่เคยบอกเอาไว้ ก็ต้องเจอกับเรื่องไม่คาดฝันเรื่องที่สองเข้าจนได้ ปกติระยะทางจากชั้นใต้ดินเพื่อขึ้นไปให้ถึงส่วนของผู้โดยสารขาออกที่อยู่ชั้น 4 ก็ว่าไกลพอตัวแล้ว นี่มาเจอกับคลื่นมหาชนที่พร้อมใจกันเดินทางในวันนี้ ทำเอาหน้าลิฟต์มีคนต่อแถวยาวเหยียด งานนี้ต้องอาศัยบันไดเลื่อนอย่างเดียวแล้ว เริ่มต้องทำการปลอบใจตัวเองอย่างจริงจังแล้วว่าต้องทัน ครั้งแรกกับคำว่า “ตกเครื่อง” พอขึ้นมาถึงชั้นของผู้โดยสารขาออก ก็ตรงเข้าไปถามเจ้าหน้าที่ประจำสนามบินเพื่อถามหาช่องที่จะต้องไปทำการเช็คอินของสายการบินของผม เพราะถ้าจะเดินหาเองก็ต้องเสียเวลากันอีกนานพอตัว พอรู้ว่าต้องไปที่ช่องไหนก็วิ่งลูกเดียวครับงานนี้ พอไปถึงก็มองเห็นว่ามีคนต่อแถวอยู่ 4-5 คน ก็ยังอุ่นใจว่าเรายังมาทัน แต่พอยื่นบัตรประชาชนให้พนักงานเพื่อออกตั๋วก็ได้ยินตอบกลับมาว่า “เที่ยวบินของคุณปิดเคาน์เตอร์แล้วค่ะ” ซึ่งแปลเป็นภาษาที่เราเข้าใจกันง่ายๆ ได้ว่า “คุณตกเครื่อง” ยุ่งแล้วซิครับงานนี้ เรียนรู้ว่าตกเครื่องแล้วต้องทำยังไง หลังจากสตั้นไปหลายวินาที พอตั้งสติได้ก็รีบขอคำปรึกษากับพนักงานว่าจะต้องทำอย่างไรต่อไป ก็ได้ความว่าให้ไปติดต่อที่เคาน์เตอร์บริการลูกค้าของสายการบิน เพื่อทำการเปลี่ยนตั๋วเป็นเที่ยวบินต่อไปที่มีที่นั่งว่าง ว่าแล้วผมก็เดินคอตกไปยังจุดที่พนักงานเขาแนะนำให้ เกิดมายังไม่เคยตกเครื่องบินเลย ใจก็คิดฟุ้งไปไกลหลายเรื่อง แล้วจะทำยังไงดีไหนจะต้องลุ้นว่ามีเที่ยวบินไหม ไหนจะต้องลุ้นว่ามีที่นั่งเหลือหรือเปล่า แล้วนี่ต้องจ่ายค่าตั๋วเพิ่มอีกเท่าไรก็ไม่รู้ น่าเขกกระบาลตัวเองจริงๆ อุตส่าห์พักอยู่ใกล้แอร์พอร์ตลิงก์แล้วแท้ๆ ยังพลาดได้ พอทำการติดต่อเจ้าหน้าที่ส่วนบริการลูกค้าของสายการบิน ก็ได้รับคำตอบที่ทำให้ผมยิ้มออกมาได้ นั่นคือเที่ยวบินต่อไปจะออกเดินทางในอีกหนึ่งชั่วโมงครึ่ง ส่วนค่าโดยสารให้ชำระเพิ่มเฉพาะค่าตั๋ว โดยไม่ต้องชำระในส่วนของค่าค่าภาษีสนามบินและอื่นๆ นั่นหมายถึงผมก็ทำการจ่ายเงินเพิ่มแต่ 500 กว่าบาทเท่านั้นเอง รอดตัวไปนึกว่าต้องจ่ายเพิ่มเป็นพันซะอีก ขอจบแบบหล่อๆ ตัดตอนที่ต้องเดินกลับไปเข้าแถวเพื่อเช็คอินอีกรอบออกไปเลย วาร์ปไปตอนที่เข้าไปนั่งกินกาแฟรอขึ้นเครื่องที่หน้า Gate กันเลย ว่าแล้วก็ต้องโทรไปบอกพี่ชายที่เชียงใหม่ซะหน่อยว่าจะเดินทางไปถึงช้ากว่าเดิม พอพี่ชายรับสายผมก็บอกว่า “เฮีย...ผมเลื่อนไฟท์นะ จะไปถึงช้ากว่าเดิม เครื่องลงแล้วจะโทรบอก” ว่าแล้วก็นึกขำในใจว่าทำไมไม่บอกออกไปเลยว่า “เฮีย...ผมตกเครื่อง”