คุณแม่คนที่ 1: ฉันจะทำยังไงดี ลูกฉันเอาแต่เก็บตัวอยู่แต่ในห้อง ไม่พูดไม่จา ข้าวก็ไม่ค่อยกิน ฉันละจนปัญญาละ แค่งานฉันก็ปวดหัวจะแย่ละ ยังมาเจอลูกทำตัวแบบนี้อีก ฉันละไม่เข้าใจเลยจริง ๆคุณแม่คนที่ 2: ลูกเธอกำลังมีปัญหาอะไรที่เขาไม่กล้าบอกเธอหรือเปล่า เธอเคยถามไถ่ลูกไหม ถามด้วยความห่วงใย ไม่ใช่ถามแบบคาดคั้น บางทีคนเป็นแม่อย่างพวกเราก็ต้องมีหลักจิตวิทยาในการพูดคุยกับลูก เธอลองหาหนังสือแนวจิตวิทยาการเลี้ยงลูกมาอ่านดูนะ ฉันแนะนำเล่มนี้ "จะเสียดาย เมื่อสายไป" บทสนทนาระหว่างคุณแม่สองคนที่คุณแม่คนที่ 1 กำลังกลุ้มอกกลุ้มใจกับพฤติกรรมของลูกที่แปลกไป ด้วยความที่เป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวและเป็น working woman จึงคิดแต่เรื่องงาน ไม่ค่อยมีเวลาได้พูดคุยกับลูก เกิดความห่างเหินระหว่างแม่ลูก เมื่อลูกมีปัญหาจึงไม่กล้าบอกแม่ คนเป็นแม่ก็ไม่เข้าใจลูก หนักเข้าอาจเกิดการทะเลาะกัน เกิดปัญหาในครอบครัวตามมา ด้วยความที่ตะวันอยากมีส่วนช่วยให้สังคมลดการเกิดปัญหาภายในครอบครัว จึงได้เขียนบทความนี้ขึ้นมา โดยนำสิ่งที่ได้จากการอ่านหนังสือแนวจิตวิทยาการเลี้ยงลูกมาแชร์ให้ทุกคนได้อ่านกัน หนังสือเรื่อง "จะเสียดาย เมื่อสายไป" เขียนโดย "ดร.นฤมล พงษ์ประเสริฐ (ครูเก๋)" เป็นอาจารย์ประจำหลักสูตรสาขาวิชาจิตวิทยา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยพายัพ และยังเป็นคุณแม่ลูกสองที่เลี้ยงลูกโดยใช้หลักจิตวิทยา หนังสือเล่มนี้มีทักษะการเลี้ยงลูกที่นักจิตวิทยาผู้เป็นแม่อยากจะบอกคุณพ่อคุณแม่และผู้ปกครอง รวมทั้งคุณครูเพื่อที่จะได้เข้าใจพฤติกรรมเด็กและช่วยกันพัฒนาศักยภาพเด็ก โดยครูเก๋ได้นำประสบการณ์จากการเป็นอาจารย์รวมทั้งเป็นคุณแม่มาเล่าให้ฟัง พร้อมทริคการเลี้ยงลูกสไตล์นักจิตวิทยาที่จะทำให้คนในครอบครัวเข้าใจกันและกันมากขึ้น ครูเก๋บอกว่าสิ่งสำคัญในการเลี้ยงดูลูกไม่ใช่การคอยกลบจุดอ่อน แก้ไขจุดด้อย แต่คือการค้นพบและเข้าใจจุดแข็งของลูก และสิ่งที่ทำให้การค้นพบเกิดขึ้นนั่นคือ "การสังเกต" โดยเฉพาะการสังเกตอารมณ์ ความคิด และพฤติกรรม โดยใช้เทคนิค "ดูจากสีหน้า" และ "การฟัง" ฟังลูกพูดให้จบโดยไม่ขัด ฟังโดยไม่ตัดสิน ฟังน้ำเสียงที่สื่อถึงอารมณ์ความรู้สึก ฟังเพื่อทำความเข้าใจปมปัญหา หากคุณพ่อคุณแม่เป็นผู้ฟังที่ดี ลูกก็จะไว้วางใจ กล้าเล่าทุกสิ่งโดยไม่คิดปิดบังหรือโกหก อย่างสมมติกรณีลูกสาวท้องโดยไม่ได้ตั้งใจ ถ้าครอบครัวไหนที่คุณพ่อคุณแม่ไม่เป็นผู้ฟังที่ดี เอาแต่ดุด่า พูดจาตำหนิติเตียน ลูกก็จะไม่กล้าพูดความจริง เพราะกลัวจะถูกดุด่า ลูกไม่มีที่ปรึกษา ไม่มีที่พึ่งพา ลูกจนปัญญา หาทางออกไม่ได้ อาจตัดสินใจทำแท้ง หรือเลวร้ายที่สุดคือการฆ่าตัวตาย สุดท้ายคนที่เจ็บปวดคือคนเป็นพ่อเป็นแม่ที่ไม่สามารถช่วยเหลือลูกได้ กรณีที่เด็กยังเล็กเกินกว่าจะสื่อสารด้วยภาษาพูด ครูเก๋บอกว่าให้สังเกตภาษากาย เช่น สีหน้า แววตา รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และการเล่น ครูเก๋ยกกรณีในร้านกาแฟที่ครูเก๋ไปนั่งทานกับลูก มีเด็กเล็กคนหนึ่งนั่งเล่นของเล่นบนโต๊ะ โดยมีพ่อแม่นั่งอยู่ข้าง ๆ แต่พ่อแม่เอาแต่เล่นโทรศัพท์ สักพักมีเด็กอีกคนเดินเข้ามาในร้านแล้วเดินผ่านโต๊ะเด็กเล็กที่นั่งเล่นของเล่นอยู่ เด็กเล็กจึงโยนของเล่นลงพื้น นักจิตวิทยาอย่างครูเก๋บอกว่านั่นเป็นการแสดงออกว่าเด็กเล็กอยากเล่นกับเด็กอีกคน แต่เขาสื่อสารด้วยคำพูดไม่ได้ เขาจึงใช้การโยนของเล่นเพื่อที่จะบอกว่า "มาเล่นของเล่นกันเถอะ" หากพ่อแม่ที่ไม่รู้หลักจิตวิทยา ก็จะทำให้ไม่เข้าใจสิ่งที่เด็กสื่อสาร ลงท้ายด้วยการดุลูกโดยที่เด็กก็ไม่รู้ว่าหนูทำผิดอะไร หนูแค่อยากเล่นกับเพื่อนแค่นั้นเอง จุดนี้อาจทำให้ลูกเกิดปมที่ว่าลูกพยายามสื่อสารกับพ่อแม่ตั้งแต่ยังเล็ก แต่ไม่ได้รับการตอบรับที่ดีจากพ่อแม่ ทำให้กลายเป็นปัญหาติดตัวเด็กไปจนโต รู้ไหมว่าสาเหตุเบื้องลึกที่ทำให้วัยรุ่นสมัยนี้เกิดการต่อยตีใช้ความรุนแรงนั้นเกิดจากอะไร? ครูเก๋อธิบายว่าเด็กทุกคนต้องการพื้นที่วิ่งเล่น สัญชาตญาณเด็กต้องการออกแรงปลดปล่อยพลัง สมัยก่อนตอนที่เทคโนโลยียังไม่เข้าถึงเด็กเล็ก เด็ก ๆ ส่วนใหญ่จะออกไปวิ่งเล่นกับเพื่อน ๆ เพื่อพัฒนากล้ามเนื้อ แต่เด็กยุคที่เทคโนโลยีเข้าถึง ส่วนใหญ่พ่อแม่เลี้ยงโดยให้โทรศัพท์สมาร์ทโฟนเป็นพี่เลี้ยง เด็กนั่งเล่นอยู่กับที่ ไม่ได้ไปวิ่งเล่นออกแรง จึงเกิดปัญหาเรื่องการถ่ายเทพลังงานในทางที่ไม่ถูกไม่ควร เกิดการชกต่อยแบบอัดอั้นไร้เหตุผล บวกกับความเป็นวัยรุ่นที่ฮอร์โมนพลุ่งพล่าน ทำให้เกิดการใช้ความรุนแรงในทางที่ผิด ดังนั้นหาพื้นที่ให้เด็กได้วิ่งเล่นบ้าง พัฒนากล้ามเนื้อส่วนอื่นบ้างนอกจากนิ้วมือที่เอาแต่สไลด์หน้าจอ กลยุทธ์ในการเลี้ยงลูกของครูเก๋นั้นใช้หลัก "โมเมนตั้ม" คือการดูระดับอารมณ์ของอีกฝ่ายว่าเป็นอย่างไร อยู่ในระดับอันตรายหรือเปล่า เราควรจะเบรกอารมณ์หรือผสมโรงเข้าไป ยกตัวอย่างกรณีขับรถบนท้องถนน เกิดมีรถตัดหน้า คนขับรถที่โดนตัดหน้าก็จะรู้สึกเดือด โมโห ตะโกนด่าว่า "แม่งเอ๊ย! ขับรถภาษาอะไรวะ!" ครูเก๋บอกว่าในกรณีที่คนขับอารมณ์เดือดมาก หากเราไปเบรกว่า "ใจเย็น ๆ นะ อย่าโมโหเลย" นั่นจะยิ่งทำให้คนที่เดือดอยู่แล้วรู้สึกเดือดกว่าเดิม เพราะเหมือนว่าเราไม่เข้าใจความรู้สึกเขาว่าแบบกูกำลังหัวร้อนนะ ครูเก๋จึงใช้วิธีผสมโรง ทำให้คนขับรู้สึกว่าคนที่นั่งอยู่ด้วยมีความรู้สึกร่วม เหมือนมีคนช่วยถ่ายโอนความรู้สึกในฐานะพวกเดียวกัน เคล็ดลับการสื่อสารกับเด็กในแบบฉบับนักจิตวิทยาอย่างครูเก๋คือการ "รู้เขา รู้เรา" ในแง่มุมของพ่อแม่คือการทำความรู้จักตัวตนลูกให้ดีที่สุดโดยใช้ทักษะการฟังและการตั้งคำถาม ทักษะนี้ครูเก๋ได้นำไปใช้ในงานจิตวิทยาของครูเก๋ที่ต้องไปสอบปากคำเด็กในห้องพิพากษา นี่เป็นอีกหนึ่งเรื่องราวที่น่าสนใจของครูเก๋และหนังสือเล่มนี้ "จะเสียดาย เมื่อสายไป" หนังสือที่เป็นเสมือนคู่มือการเลี้ยงลูกที่เต็มไปด้วยทักษะทางจิตวิทยา หวังว่าบทความของตะวันและหนังสือของครูเก๋จะช่วยให้อะไร ๆ ไม่สายเกินไป...-----------------------------------------------------------------------------------------ติดตามอ่านบทความอื่น ๆ ของตะวันซันชายน์ได้ที่ >> creators.trueid.net/@25346-----------------------------------------------------------------------------------------ขอบคุณภาพประกอบ >> ภาพปก pixabay, pixabay, ตะวันซันชายน์ / pic 1 pixabay / pic 2, 3 ตะวันซันชายน์ / pic 4 pixabay / pic 5 pixabay / pic 6 pixabay / pic 7 pixabay / pic 8 pixabay