รู้หรือไม่อะไรที่เป็นสิ่งสำคัญที่อยู่คู่กับสิ่งมีชีวิตทุกชนิด? คุณผู้อ่านลองเดาดูซิ ให้เวลา 5 วินาที 5 4 3 2 1 หมดเวลา สิ่งนั้นคือ "พัฒนาการ" นั่นเอง จริง ๆ มันมีหลากหลายคำตอบแหละ แต่พัฒนาการคือสิ่งสำคัญที่มีอยู่ในสิ่งมีชีวิตทุกชนิด ตามหลักจิตวิทยา "พัฒนาการ (Development)" หมายถึงความเปลี่ยนแปลงลักษณะของบุคคลทั้งในโครงร่างความเจริญเติบโต (Growth) ได้แก่ ขนาด รูปร่าง สัดส่วน ตลอดจนกระดูกและกล้ามเนื้อ รวมถึงพัฒนาการด้านพฤติกรรมที่แสดงออกมา นักจิตวิทยาแบ่งพัฒนาการของมนุษย์ออกเป็น 4 ด้าน ได้แก่ พัฒนาการด้านร่างกาย พัฒนาการด้านอารมณ์ พัฒนาการด้านสังคม และพัฒนาการด้านสติปัญญา พัฒนาการจะสมวัยหรือไม่ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ทั้งปัจจัยด้านพันธุกรรม รวมทั้งปัจจัยสิ่งแวดล้อม อย่างเช่นการเลี้ยงดูก็สำคัญ เด็กบางคนได้รับปัจจัยที่ส่งเสริมให้เขามีพัฒนาการสมวัย แต่ยังมีเด็กอีกหลายคนที่มีความบกพร่องทางพัฒนาการหรือมีพัฒนาการที่ล่าช้า จะขอเล่าประสบการณ์ที่พบเจอกับตัวเอง จากการที่ตะวันเคยไปเป็นพี่อาสาดูแลเด็กที่สถานสงเคราะห์แห่งหนึ่ง เด็กที่ตะวันดูแลเป็นเด็กผู้ชาย อายุ 5 ขวบ แต่พัฒนาการด้านการสื่อสารยังล่าช้า เขาเป็นเด็กเงียบ ๆ ไม่ค่อยพูดค่อยจา พูดเป็นประโยคไม่ได้ พูดได้เป็นคำ ๆ สื่อสารความต้องการของตัวเองออกมาไม่ค่อยได้ เวลาพูดไม่ค่อยสบตา ไม่ค่อยมีปฏิกิริยาอะไร พอเจอแบบนี้เราต้องพยายามอ่านพฤติกรรมการแสดงออกของเขาว่าเขาต้องการจะสื่อสารอะไร เราต้องเป็นฝ่ายชวนคุยโดยตั้งคำถามในสิ่งที่เด็กสนใจ (ต้องชวนเล่นก่อน เด็กถึงจะยอมพูดคุยด้วย) และค่อย ๆ สอนวิธีการพูดจาสื่อสาร ซึ่งเราต้องใจเย็นมากกกกกกกถึงมากที่สุด ด้วยความที่ตะวันสนใจเรื่องพัฒนาการที่ล่าช้าของเด็ก จึงหยิบหนังสือเล่มนี้มาอ่าน "ช้าบ้างไม่เป็นไร สมองเด็กฝึกได้ทุกวัน" ของคุณหมอ "คะโตะ โทะชิโนะริ" แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านประสาทจิตวิทยา ผู้วิเคราะห์สมองด้วยการตรวจ MRI หรือ Magnetic Resonance Imaging (การตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า) หนังสือเล่มนี้มีอะไรน่าสนใจบ้าง เดี๋ยวตะวันจะเล่าให้ฟัง หนังสือเล่มนี้จะพูดถึงพัฒนาการทางสมองตั้งแต่วัยทารกจนถึงวัยเด็ก ความผิดปกติของสมอง ความบกพร่องทางพัฒนาการ การดูแลและพัฒนาสมอง รวมถึงกิจกรรมพัฒนาสมองที่ฝึกได้เองที่บ้าน ฝึกได้ทั้งเด็กที่บกพร่องทางการเรียนรู้ (LD) เด็กที่บกพร่องด้านสังคมหรือออทิสติกสเปกตรัม (ASD) เด็กที่บกพร่องด้านการสื่อสาร เด็กที่เป็นโรคสมาธิสั้น (ADHD) และเด็กที่บกพร่องทางการเคลื่อนไหวร่างกาย คุณหมอคะโตะแบ่งสมองออกเป็น 8 ส่วน เรียกว่า "รหัสสมอง 8 ด้าน" ได้แก่ ด้านความคิด ด้านอารมณ์ ด้านการสื่อสาร ด้านการเคลื่อนไหว ด้านการจดจำ ด้านความเข้าใจ ด้านการได้ยิน และด้านการมองเห็น คำกล่าวที่ว่าสมองจะพัฒนาสูงสุดเมื่ออายุ 3 ขวบนั้นไม่จริง! คุณหมอบอกว่าสมองมนุษย์เราพัฒนาได้ตลอดชีวิต สิ่งที่สมองต้องการจากเราคือ 1.น้ำตาลกลูโคส 2.ออกซิเจน 3.สภาพแวดล้อมที่ทำให้มีข้อมูลป้อนสู่รหัสสมองและประสบการณ์ที่ได้ใช้รหัสสมอง (วันนี้คุณให้ในสิ่งที่สมองต้องการแล้วหรือยัง?) มาพูดถึงความบกพร่องทางพัฒนาการ เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเด็กคนนี้มีความบกพร่องทางพัฒนาการ อย่างแรกเลยคือมันทำให้ชีวิตประจำวันของเด็กเกิดปัญหาทั้งที่บ้านและโรงเรียน อย่างเด็กที่มีภาวะบกพร่องทางสติปัญญาก็จะทำให้เรียนไม่ทันเพื่อน เด็กที่มีภาวะบกพร่องทางสังคมก็จะเข้าสังคมไม่เป็น เด็กที่มีภาวะบกพร่องทางการเรียนรู้ (Learning Disabilities: LD) อาจจะทำให้พัฒนาการด้านการอ่านหรือการเขียนช้ากว่าเด็กทั่วไป เด็กที่เป็นออทิสติกสเปกตรัม (Autistic Spectrum Disorder: ASD) จะบกพร่องทางพัฒนาการด้านการอยู่ร่วมกับคนในสังคม ไม่ถนัดคบหาสมาคมกับผู้อื่น สื่อสารกับผู้คนลำบาก มีปฏิสัมพันธ์หรือโต้ตอบบทสนทนากับผู้อื่นไม่ได้ ทำให้ปลีกตัวออกจากกลุ่ม มีลักษณะพิเศษคือมีพฤติกรรมทำสิ่งที่ตนสนใจหรือกิจกรรมบางอย่างซ้ำ ๆ หรือมีเงื่อนไขส่วนตัวที่ต้องทำตาม จึงสื่อสารให้ผู้อื่นเข้าใจยาก ส่วนเด็กที่เป็นโรคสมาธิสั้น (Attention Deficit Hyperactivity Disorder: ADHD) จะมีอาการขาดสมาธิ อยู่ไม่นิ่ง และมุ่งความสนใจไปที่จุดเดียว สาเหตุความบกพร่องทางพัฒนาการมีตั้งแต่สมองเจริญเติบโตผิดปกติขณะที่กำลังเป็นรูปเป็นร่าง (อาจเกิดจากโครโมโซมผิดปกติหรือมีภาวะสมองไม่สมบูรณ์) สมองได้รับการกระทบกระเทือน สมองมีรูปร่างไม่สมบูรณ์ กิ่งก้านสมองเติบโตช้า สมองส่วนฮิปโปแคมปัสเปลี่ยนรูปเนื่องจากเนื้องอกหรือถุงน้ำในสมองกดทับ รอยพับฮิปโปแคมปัสพัฒนาล่าช้า (Hippocampal infolding retardation) สมองส่วนอะมิกดาลาพัฒนาช้า (จะมีปัญหาด้านอารมณ์และการเข้าสังคม) วิธีบำบัดสมองที่มีพัฒนาการช้าตามที่คุณหมอคะโตะได้เขียนไว้ในหนังสือเล่มนี้คือให้อาหารเสริมสมองด้วย "การศึกษา" และ "ประสบการณ์" ในสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยให้สมองพัฒนา เมื่อได้รับการกระตุ้นจากสภาพแวดล้อม ผลักดันให้ตนเองกระทำบางอย่างแล้วได้รับการยอมรับจากคนรอบข้าง จะช่วยให้สมองพัฒนาต่อไปได้ดี เราจะสังเกตเด็กอย่างไรว่าเด็กคนนี้มี "รหัสที่สมองถนัด" ด้านไหน (หรือจะสังเกตตัวเราเองก็ได้) มีจุดสังเกตอยู่ 5 จุด1. แม้ไม่มีสิ่งตอบแทนหรือการทบทวนก็อยากลงมือทำ2. แม้ไม่มีสิ่งตอบแทนหรือการทบทวนก็ทำซ้ำได้อีก3. แม้ไม่มีสิ่งตอบแทนหรือการทบทวนก็รู้สึกสนุก4. แม้ไม่ได้ฝึกฝนมากนักก็ทำได้ดี5. แค่คิดว่าทำได้ (แม้ยังไม่ได้ลองทำ) ก็รู้สึกตื่นเต้น อยากทำ เราจะสังเกต "รหัสสมองส่วนที่เติบโตไม่สมบูรณ์" จาก 5 จุดนี้1. แม้มีรางวัลหรือของตอบแทนก็ยังไม่อยากทำหรือปฏิเสธไม่ยอมทำ2. แม้มีรางวัลหรือของตอบแทนก็รู้สึกว่าตัวเองไม่ถนัด มักง่วงนอน3. แค่คิดว่าต้องทำก็รู้สึกเบื่อหน่ายแล้ว รู้สึกขี้เกียจทำ4. มีปัญหาเกิดขึ้นบ่อยครั้ง5. เด็กไม่รู้ว่าตัวเองเก่งหรือเปล่า ถ้าอยากให้สมองเด็กพัฒนาต้องสร้างสภาพแวดล้อมที่ดี โดยเฉพาะปฏิสัมพันธ์ที่พ่อแม่หรือผู้ใหญ่มีต่อเด็ก อย่างเช่น มีคนตั้งใจฟังเด็กพูด มีคนพูดให้เด็กเข้าใจ เด็กได้รับคำชมเพื่อสั่งสมประสบการณ์ว่าทำบางอย่างสำเร็จ มีคนปลอบใจเมื่อเด็กทำผิดพลาด เด็กทำอะไรได้เองตั้งแต่ต้นจนจบโดยไม่มีใครเร่ง มาพูดถึงเทคนิค 3 ข้อที่จะทำให้คำพูดเราส่งไปถึงสมองของเด็ก1. พูดเว้นช่องว่างให้พอดีและพยายามพูดช้า ๆ ชัด ๆ2. พูดคำสั้น ๆ ได้ใจความ3. พูดอย่างใจเย็นและนุ่มนวล เทคนิค 3 ข้อที่จะทำให้การใช้คำสั่งที่ทำให้เด็กอยากทำตาม1. สั่งสิ่งที่เด็กน่าจะทำได้2. สั่งสิ่งที่หวังผลได้3. ยิ้มแล้วรอชมเชย เทคนิค 3 ข้อที่จะทำให้คำชมที่ทำให้สมองพัฒนา1. ชมในขณะที่กำลังทำ2. ชมในสิ่งที่เป็นจริง3. ติดดาวไว้ที่หางเสียง (คือการใช้น้ำเสียงที่ฟังดูแล้วรู้สึกสดใสและอบอุ่น หรือการใช้เสียงสอง เสียงสามนั่นเอง) ควรหลีกเลี่ยงการเลี้ยงดูที่ทำให้เด็กมีความบกพร่องทางพัฒนาการหรือมีปัญหาทางจิตใจ ได้แก่1. พูดเปลี่ยนไปตามอารมณ์2. บ่นพึมพำหรือตวาดเสียงดังซ้ำ ๆ ด้วยความหงุดหงิด3. ทำเมินเฉยหรือไม่ใส่ใจ4. ดุด่าอย่างไร้เหตุผล5. ทุบตีทำร้ายร่างกายจนได้รับบาดเจ็บ หากคุณพ่อคุณแม่หรือคุณครูสังเกตเห็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าลูกเรามีความบกพร่องทางพัฒนาการจนส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน ควรรีบพาเด็กไปพบผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการเด็กหรือนักจิตวิทยาพัฒนาการ การที่ลูกเรามีความบกพร่องทางพัฒนาการ ไม่ได้หมายความว่าเราจะเป็นพ่อแม่ที่ไม่ดี ไม่อยากให้คุณพ่อคุณแม่รู้สึกผิดหรือโทษตัวเองหรือโทษตัวลูก หรือรู้สึกอับอายที่มีลูกมีความบกพร่อง ไม่มีใครอยากให้เกิดอะไรแบบนี้ขึ้นหรอกเนอะ อันดับแรกคุณพ่อคุณแม่ต้องยอมรับความจริงว่าลูกเรามีปัญหาด้านพัฒนาการแล้วหาทางแก้ไขปัญหา ถ้ายอมรับได้เร็วก็แก้ปัญหาได้เร็ว ตะวันเป็นกำลังใจให้กับคุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกมีความบกพร่องทางพัฒนาการ และสุดท้ายอยากบอกมนุษย์ทุกคนว่า "จงยอมรับความบกพร่องของตัวเองให้ได้ เพราะนั่นคือตัวเรา เราทุกคนล้วนมีความบกพร่องไม่มากก็น้อย" เมื่อคุณอ่านบทความนี้จบแล้ว ลองสำรวจตัวเองสิว่า "เรามีความบกพร่องตรงไหนบ้าง? ความบกพร่องนี้เราแก้ไขได้ไหม? ถ้าแก้ไขได้ก็ให้แก้ ค่อย ๆ แก้ไป แต่ถ้ามันเกินเยียวยาแล้ว ทำใจยอมรับความบกพร่องแล้วท่องโลกอย่างคนที่ชีวิตนี้มีแค่ครั้งเดียว"-----------------------------------------------------------------------------------------------ตามไปอ่านบทความอื่น ๆ ของตะวันซันชายน์ได้ที่ >> creators.trueid.net/@25346-----------------------------------------------------------------------------------------------ขอบคุณภาพประกอบ >> ภาพปก Pixabay, Pixabay, Pixabay, ตะวันซันชายน์ / pic 1 Pixabay / pic 2, 3 ตะวันซันชายน์ / pic 4 Pixabay / pic 5 Pixabay / pic 6 Pexels / pic 7 Pixabay / pic 8 Pixabay / pic 9 Pixabay / pic 10 Pixabay / pic 11 Pexels / pic 12 Pexels / pic 13 Pexels / pic 14 Pexels / pic 15 Pixabay / pic 16 Pixabay