ถือเป็นเกมที่น่าผิดหวังไม่น้อยเลยทีเดียวหลังจากที่ " ลิเวอร์พูล " ทีมขวัญใจชาวไทยที่กำลังอยู่ในช่วงมั่นใจสุดขีดต้องมาพลาดท่าเปิดบ้านเสมอกับไบรท์ตันไปแบบสุดมันด้วยสกอร์ 2 - 2 พลาดโอกาสขึ้นนำจ่าฝูงแถมยังโดนเชลซีฉีกหนีไปเป็นสาม 3 คะแนนแล้ว ในช่วงเริ่มเกมเป็นทางไบร์ทตันที่โหมกระหน่ำทักทายเจ้าบ้านก่อนจนเกือบจะขึ้นนำเร็ว แต่ทว่าต้องชื่นชมจังหวะการโต้กลับเร็วของลิเวอร์พูลที่ใส่สกอร์ขึ้นนำได้ตั้งแต่โอกาสยิงครั้งแรกของพวกเขาในนาทีที่ 4 โดยลูกยิงไกลหน้ากรอบเขตโทษของ " จอร์แดน เฮนเดอร์สัน " จากนั้นเหมือนว่าไบรท์ตันจะเกิดอาการช็อคสุดขีดเพราะพวกเขาตั้งเกมที่ถนัดไม่ได้เลยหลังจากนั้นก่อนจะมาเสียประตูที่สองเมื่อตัวสำรองอย่าง " แชมเบอร์เลน " โยนบอลข้ามแนวรับไปในกรอบเขตโทษให้ " ซาดิโอ มาเน่ " ตั้งป้อมโหม่งแบบเน้นๆ ให้ทัพหงส์แดงหนีห่าง 2 ประตูในนาที 24 รูปเกมหลังจากนี้เป็นของลิเวอร์พูลอย่างแท้จริงกำลังเล่นอย่างมั่นใจ แต่ไบรท์ตันก็ไม่ใช่จะยอมง่ายๆ พวกเขามีโอกาสบุกขึ้นมายิงชนเสาเชี่ยวไปมาหลายจังหวะ ก่อนที่จะเป็นทาง " โรเบิร์ต ซานเชซ " นายทวารของนกนางนวลเตะเปิดเกมไปติดมาเน่กระเด็นเข้าประตูตัวเอง แต่ทว่าเมื่อเช็ค VAR พบว่าบอลกระเด็นไปโดนมือมาเน่ก่อนเข้าประตูทำให้ลูกนี้หลายเป็นโมฆะไป ซึ่งส่วนตัวผมมองว่าการที่ลิเวอร์พูลไม่ได้ประตูที่สามคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ไบร์ทตันยังอยู่ในเกมได้ ซึ่งภายหลังจากนั้นไม่นานก็เกิดจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญก่อนหมดเวลาครึ่งแรกนั่นคือ " ลูกผีจับยัด " ในนาที 41 โดยเป็นดาวเตะเลือดแซมเบีย " อีน็อค เอ็มเวปู " ที่ยิงไกลนอกกรอบเขตโทษชนิดโด่งขึ้นฟ้าย้อยเข้าประตูไปแบบไม่คาดฝัน ก่อนจะจบครึ่งแรกด้วยสกอร์ 2 - 1 เริ่มเกมส์ในครึ่งเวลาหลังคือฟอร์มอันน่าผิดหวังของลิเวอร์พูลโดยแท้จริง เมื่อพวกเขาหาโอกาสยิงแบบเต็มข้อลุ้นประตูไม่ได้เลย ต่างจากไบรท์ตันที่กำลังใจดีเล่นเกมโต้กลับสายฟ้าแลบโจมตีแนวรับที่ขาดความเสถียรจนมีโอกาสจบสกอร์แบบหวาดเสียวหลายครึ่ง และในท้ายที่สุดเหตุการณ์สุดช็อคก็เกิดในนาที 65 เมื่อเลอันโดร ทรอสซาร์กดประตูแบบระยะเผาขนในกรอบเขตโทษให้ไบรท์ตันตีเสมอเป็น 2-2 ก่อนจะจบเกมไปด้วยสกอร์นี้ โดยภาพรวมจากคนนอกถือว่าเป็นเกมที่สนุกกว่าที่คิดเพราะไบรท์ตันมาเปิดหน้าแลกกับลิเวอร์พูลแบบไม่กลัวตายจนแฟนบอลยอมรับ ตัดเกรดนักเตะหงส์ แนวรับ " อลีสซง เบ็คเกอร์ " มีจังหวะเซฟสำคัญหลายลูกที่ช่วยทีมได้ถึงจะเสียสองประตูก็ตามแต่ก็ถือว่าฟอร์มไม่ได้น่าเกลียดอะไร แต่ทว่าภาพรวมในแนวรับ 4 ตัววันนี้ค่อนข้างไม่เสถียรและ " มีช่องโหว่ " เพราะเปิดโอกาสให้คู่แข่งลากตะลุยโจมตีมากเกินไปโดยเฉพาะเกมทางฝั่งขวาที่ทะลุผ่านมาบ่อยครั้ง 1. อลีสซง เบ็คเกอร์ ( 7 ) 2. เทรนต์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ ( 5 ) 3. อิบราฮิมา โคนาเต ( 5 ) 4. เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค ( 6 ) 5. แอนดี้ โรเบิร์ตสัน ( 6 ) แดนกลาง แดนกลางทำหน้าที่ตัวเองได้ดีโดยเฉพาะกับตันเฮนโด้ที่แบกเกมรับตรงกลางชัดเจนแถมยิงประตูสุดสวยให้ทีมนำเร็วได้ และในช่วงที่เกอิต้าอยู่ในสนามทำให้แดนกลางมีชีวิตมากขึ้นแถมจังหวะการแทงทะลุช่องเข้าพื้นที่สีแดงของคู่แข่งก็ทำได้ดีแต่ดันมาพลาดเจ็บไปเสียก่อน แต่พอหลังจากเกอิต้าเจ็บไปแดนกลางของลิเวอร์พูลก็เริ่มมีปัญหาเรื่อยมาจนกระทั่งจบเกมส์ 6. จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ( 7 ) 7. นาบี้ เกอิต้า - ( 4 ) 8. เคอร์ติส โจนส์ ( 5 ) แนวรุก ถือว่าไม่น่าผิดหวังอะไรมากเพราะแนวรุกยังทำหน้าที่ของตัวเองโดยการยิงไปถึง 2 ประตู แต่ก็ไม่ใช่ว่าดีสุดขีดเหมือน 2 - 3 นัดที่ผ่านมา โดยเฉพาะทางฟีร์มิโน่ที่มีโอกาสยิงประตูจ่อแต่กลับเสยจนเหินข้ามคานไปไกล แถมจังหวะการตัดสินใจในพื้นที่สุดท้ายก็ทำผิดตลอดเกือบจะทั้งเกมส์ ส่วนซาลาห์และมาเน่ก็มีชื่อคนทำแอสซิสต์และยิงประตูตามลำดับก็ถือว่าอยู่ในระดับดี 9. โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ( 7 ) 10. ซาดิโอ มาเน่ ( 8 แมน ออฟ เดอะ แมตช์ ) 11. โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ ( 5 ) ผู้เล่นสำรอง แชมเบอร์เลนลงมาแทนเกอิต้าที่บาดเจ็บช่วงต้นเกมซึ่งเจ้าตัวสามารถแอสซิสต์สุดสวยให้ทีมได้ แต่ต้องยอมรับว่าหลังจากนั้นเจ้าตัวแบไม่มีอมแพ็คกับทีมเลยจนทำให้เกมแดนกลางเป็นรองคู่แข่งชัดเจน ส่วนโจต้าและมินามิโนะแถบจะตัดเกรดไม่ได้เลยเพราะมีเวลาลงสนามน้อยมากๆ โดยเฉพาะมินามิโนะที่ได้ลงเล่นไปเพียงแค่ 2 นาทีเท่านั้น แถมยังเสียบสกัดพลาดโดนใบเหลืองไปอีก 1. อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด แชมเบอร์เลน ( 5 ) ลงมาแทนเกอิต้านาที 19 2. ดิโอโก โจต้า ( 4 ) ลงมาแทนฟีร์มิโน่นาที 78 3. ทาคุมิ มินามิโนะ ( ไม่มีคะแนน ) ลงมาแทนโจนส์นาที 88 กุนซือ เจอร์เก้น คล็อปป์ ( 6 ) ต้องยอมรับว่าวันนี้คล็อปป์โชคร้ายที่ตัวผู้เล่นบาดเจ็บเร็วตั้งแต่ช่วงต้นเกมเสียโควต้าไป 1 ตำแหน่ง จึงอาจเกิดความกังวลว่าถ้าเปลี่ยนตัวเร็วแล้วเกิดปัญหาช่วงท้ายจะส่งผู้เล่นเพิ่มไ่ได้อีกทำให้น่าจะเป็นเหตุผลที่คล็อปป์แก้เกมช้ามากๆ ทั้งที่ฟีร์มิโน่เล่นไม่ออกทำบอลเสียหลายครั้ง สุดท้ายแล้วทีมที่ผิดหวังคงหนีไม่พ้นลิเวอร์พูลที่ต้องยอมรับว่า " เสมอเหมือนแพ้ " เพราะรูปเกมในช่วงแรกได้เปรียบแถมสกอร์ก็นำถึง 2 ประตูหากประคองไปได้จะขยับไล่จี้เชลซีต่อไปได้ แต่ในเมื่อพลาดไปแล้วแฟนหงส์แดงก็อย่าตกใจไปเพราะผมมองว่านี่ยังไม่ใช่วิกฤตที่น่ากลัวขนาดนั้น หากแต่เป็นเพียง " อุบัติเหตุทางฟุตบอล " ที่ย่อมเกิดขึ้นได้เมื่อเจอทีมเกมรุกจัดจ้านอย่างไบรท์ตัน หลังจากนี้ยังเชื่อว่าลิเวอร์พูลจะกลับมารักษาฟอร์มเก่งของตัวเองได้อีกครั้งอย่างแน่นอน และจะขับเคี้ยวเชลซีลุ้นเเชมป์ลีกต่อไปจนถึงช่วงปลายฤดูกาล *** บทความน่าสนใจจาก Taleman 3 ปัจจัยที่ส่งผลให้หงส์แดง " Liverpool " พลาดแชมป์ฤดูกาล 2021-2022 ส่องความโหด "โมฮาเหม็ด ซาลาห์ " เทพเจ้าลูกหนังแห่งอียิปต์ ความหวังของทัพลิเวอร์พูล ** Ref Picture แหล่งที่มารูปภาพ รูปภาพหน้าปก : จาก FB Liverpool รูปภาพประกอบที่ 1 , 2 , 3 , 4 จาก FB Liverpool ส่องนักบอลตัวเต็ง ดูสดทุกแมทช์สุดมันส์บน App TrueID โหลดฟรี!