เพื่อนนักอ่านเคยสงสัยกันบ้างหรือไม่คะว่าทำไมคำสอนทางศาสนาพุทธจึงสอนว่าให้เรามองว่าแม้แต่ตัวเราเองก็ไม่ใช่ของเรา เพราะฉะนั้นไม่มีอะไรในโลกนี้เป็นของเราเลยค่ะ ถ้าเราพูดกันในคำสอนของพระศาสดาท่านทรงตรัสสั่งสอนเรื่องของขันธ์ 5 อันได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ คำว่าขันธ์ หมายถึงกองหรือหมู่ ขันธ์ 5 หมายถึงร่างกายมนุษย์ที่แยกออกเป็นห้าส่วนรูป หมายถึงส่วนผสมของธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ เช่น ผม เลือด กระดูก ฯลฯเวทนา หมายถึงความรู้สึกมีสามประเภท คือ สุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกขมสุขเวทนาหรือไม่ทุกข์ไม่สุขสัญญา หมายถึงการจำได้หมายรู้สังขาร หมายถึงความคิดปรุงแต่งมีสามประเภท คือ กุศลสังขาร อกุศลสังขาร อัพยากตสังขารหรือไม่ดีไม่ชั่วฃวิญญาณ หมายถึง ระบบรับรู้จากผัสสะทั้งหกประเภท คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจขันธ์ 5 ประการมีเกิดมีดับ ไม่เที่ยง มนุษย์ทุกคนมีขันธ์เหมือนกันห้าประการแต่บริสุทธิ์ไม่เท่ากันครูปุ้ยเชื่อว่าเป็นเช่นนั้้นจริง เพราะแต่ละคนแต่ละจิตใจแต่ละการกระทำ แต่ว่าด้วยความไม่เที่ยงและการมีเกิดมีดับของทุกสรรพสิ่ง ทั้งมนุษย์และสิ่งมีชีวิตทุกชนิดย่อมเป็นอย่างนี้การเห็นจริงตามสภาพธรรมชาติเช่นนี้ครูปุ้ยว่าเป็นสิ่งดี เพราะทำให้เราไม่ประมาทต่อความตายและปล่อยวางไม่ยึดติด อันว่าตัวเราไม่ใช่ของเราสักวันร่างกายของเราย่อมเสื่อมโทรมลงแม้ไม่ป่วยก็ต้องแก่และตายไปเป็นของธรรมดา เพื่อนนักอ่านคงเคยเห็นบางคนที่กินยากอยู่ยากนอนยากหรือไม่สบอารมณ์หรือพอใจกับอะไรง่ายๆ ครูปุ้ยว่าคนเหล่านี้เค้าลืมพิจารณาขันธ์ หรือลืมธรรมชาติอันเป็นธรรมดาเหล่านี้ไป ครูปุ้ยคิดว่าทุกวันนี้ถ้าใครสามารถกินง่ายถ่ายคล่องนอนสบายได้ถือว่าเป็นบุญของเค้าอย่างมาก สังเกตุจากสภาพการใช้ชีวิตของคนเราในปัจจุบันนี้ ส่วนใหญ่มักป่วยเป็นโรคทางจิตเวช เช่น วิตกกังวล กินไม่ได้ นอนไม่หลับสบาย และพลอยกระทบกับระบบขับถ่ายไปด้วยในท้ายที่สุดพระศาสดาท่านทรงสอนไว้ว่าทุกชีวิตเป็นไปตามอำนาจของกรรม แต่เราจะปล่อยชีวิตของเราไปตามยถากรรมไปทั้งหมดไม่ได้ เราต้องตั้งสติและพิจารณาธรรมชาติของร่างกายหรือขันธ์มองให้เป็นเรื่องธรรมดา ปล่อยวางและพิจารณาว่าตัวเรานั้นไม่ใช่ของเรา สุดท้ายเราก็ต้องกลับคืนสู่ธรรมชาติเหมือนสิ่งมีชีวิตอื่นๆ เนื่องจากร่างกายของเราเปลี่ยนแปลงไปตามกลไกธรรมชาติ เกิด แก่ เจ็บ ตาย และเราไม่อาจฝึนได้เพื่อนนักอ่านคะครูปุ้ยคิดว่าเราไม่ควรยึดติดกับตัวตนของเราให้มากเกินไป และแน่นอนอย่าประมาทกับความตาย แต่ก็อย่าไปคิดจดจ่อจนใจหดหู่ควรมองให้เป็นเรื่องธรรมดา เพราะถ้าเราคิดได้แบบนี้เราจะมีความรักเพื่อนมนุษย์ รักสัตว์ รักตัวเอง รวมถึงทุกสรรพสิ่ง ละความเห็นแก่ตัว ให้ได้มากขึ้น ปล่อยวางมากขึ้น ให้อภัยได้มากขึ้น เห็นมั้ยคะว่าข้อดีที่เราจะได้รับมีมากมายและล้วนแต่เป็นสิ่งที่เรียกว่าบุญบารมีสำหรับเป็นเสบียงบุญไปในภพหน้าชาติหน้าได้เป็นอย่างดี จงอย่ายึดมั่นถือมั่น ยอมรับความแก่ ความเจ็บ และความตายให้พิจารณาเป็นเรื่องธรรมดาเสียการเห็นเป็นจริงเช่นนี้แล้วการพลัดพรากจากของรัก คนที่เรารัก หรือสัตว์เลี้ยงที่เรารักก็จะเป็นเรื่องที่เราสามารถทำใจยอมรับการพลัดพรากได้มากขึ้นและเสียใจน้อยลงค่ะ มองทุกอย่างเป็นของไม่เที่ยงและเป็นธรรมดาเสียแล้วความสุขในชีวิตของเราจะมากขึ้น แล้วเราจะสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขและคุ้มค่ากับการที่ได้เกิดมามากยิ่งขึ้นค่ะ การรู้จักปล่อยวางเพื่อความสุขของเรานั้นจะสามารถทำให้การดำเนินชีวิตของเรามีคุณค่ามากย่ิงขึ้น และเสริมสร้างกำลังใจให้เข้มแข็งในการต่อสู้กับปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ได้เป็นอย่างดี ขอขอบคุณเครดิตภาพ หน้าปก/Hieu Hoang/canva/Pexelsภาพประกอบภาพที่ 1/Jefferson Lima/Pexelsภาพประกอบภาพที่ 2/Vlad Chetan/Pexelsภาพประกอบภาพที่ 3/Helena Lopes/Pexelsภาพประกอบภาพที่ 4/Ketut Subiyanto/Pexels เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !