ธุรกิจจะคงอยู่ได้ถ้ามีกำไร แต่ถ้าราคาขายไม่เหมาะสมกับคุณภาพ แล้วใครจะซื้อ ?.ด้วยเหตุนี้ การตั้งราคาเพื่อให้ได้มาซึ่งกำไรจึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทุกคนที่ต้องทำให้เป็น ซึ่งเรามี 4 ขั้นตอนง่าย ๆ ที่ยกตัวอย่างจากประสบการณ์จริง ซึ่งหากคำนวณตามขั้นตอนนี้ ก็จะช่วยให้การขายของทุกชิ้นมีกำไรได้อย่างแน่นอน.ขั้นตอนที่ 1 คำนวณต้นทุนวัตถุดิบให้เป็นสินค้าที่ขายแต่ละชิ้นมีต้นทุน ซึ่งการรู้ต้นทุนของสินค้า 1 ชิ้นเป็นเรื่องเรื่องที่ต้องทำให้ได้ ยกตัวอย่างเมนู “อเมริกาโน่เย็น” จะมีต้นทุนของอะไรบ้างเมล็ดกาแฟ 12.0 บาทน้ำ 0.5 บาทแก้วและฝา 2.5 บาทน้ำแข็ง 0.8 บาทหลอด 0.3 บาทถุงหูหิ้ว 0.3 บาทค่าไฟ 0.3 บาทรวม 16.7 บาท ถ้าคิดว่าต้นทุน 16.7 บาท แล้วจะขายแก้วละ 25 บาทก็ต้องบอกว่า...เร็วไปที่จะตอบเช่นนั้น เพราะยังมีต้นทุนในข้อ 2 ให้ต้องคำนวณต่อ.ขั้นตอนที่ 2 ไม่ลืมต้นทุนแฝงนอกจากต้นทุนวัตถุดิบแล้ว ต้องไม่ลืมคิด “ต้นทุนแฝง” ที่เรา ‘ต้องจ่าย’ เพื่อให้ได้มาซึ่งการตั้งร้านขายของ ซึ่งหากไม่รวมมันเข้าไป มีสิทธิที่จะขายราคาต่ำเกินไปได้ ในส่วนนี้แต่ละคนก็จะมีต้นทุนแฝงที่ต่างกันออกไป ให้รวมต้นทุนทุกอย่างเข้าด้วยกันแล้วหารด้วยจำนวนแก้วที่คาดว่าจะขายได้การเผื่อต้นทุนแฝงจะเป็นการคาดการณ์อนาคต เนื่องจากต้องทำก่อนการขายจริง แต่เราสามารถปรับต้นทุนส่วนนี้ได้เมื่อเห็นตัวเลขที่แท้จริงของเดือนที่ผ่านมา ยกตัวอย่างเช่นหากรวมมาแล้วว่าต้นทุนแฝงอยู่ที่ 10,000 บาทต่อเดือน คาดการณ์ยอดขายเท่ากับ 1,000 แก้วต่อเดือนก็เท่ากับว่าแต่ละแก้วจะมีต้นทุนแฝงเท่ากับ 10,000/1,000 = 10 บาท/แก้ว.หมายความว่าตอนนี้ต้นทุนอเมริกาโน่ต่อแก้วจะกลายเป็น 16.7 + 10.0 = 26.7 บาท.ขั้นตอนที่ 3 คำนวณราคาขายถ้าใครขายหน้าร้านทั่วไปจะตั้งราคาขายที่เท่าไหร่ก็ได้ ตามกำไรที่คุณต้องการ ขอแค่ต้องมากกว่า 26.7 บาท ก็พอแต่สำหรับใครที่ขายออนไลน์จะถูกคิดค่าบริการ (%GP) จากบริษัทออนไลน์เดลิเวอรี่ในอัตราที่ต่างกัน และโดนคิด Vat อีก 7% ซึ่งก่อนตั้งราคาขายต้องเอาค่าคงที่ (Factor) คำนวณเข้าไปด้วย ตามสูตรนี้ ราคาขาย = ราคาต้นทุน x ค่าคงที่ (Factor)ยกตัวอย่างการคำนวณดังต่อไปนี้ถ้าอเมริกาโน่ 1 แก้ว ขายผ่านแพรตฟอร์มออนไลน์เดลิเวอรี่ และโดนคิดค่า GP อยู่ที่ 30% ราคาขาย = ราคาต้นทุน x ค่าคงที่ (Factor) ต้องตั้งราคาขาย = 26.7 x 1.47 = 39.25 บาทดังนั้น ถ้าต้องการจะได้กำไรในทุกแก้วที่ขาย ต้องขายที่ราคามากกว่า 39.25 บาท ลองนึกดูสิค่ะว่า ถ้าคุณลืมคิดข้อ 1 และข้อ 2 แล้วตั้งราคาขายแค่ 25 บาท ทุกๆแก้วที่ขายจะขาดทุนแก้วละ 25 - 39.25 = 14.25 บาท ยิ่งขายเยอะๆเท่าไหร่ ก็ยิ่งเจ๊งเร็วเท่านั้น.ขั้นตอนที่ 4 เทียบราคากับคู่แข่งหลังจากที่คำนวณทุกอย่างเสร็จแล้ว ก็ต้องมาตั้งราคาขายที่มากกว่าต้นทุนที่คำนวณได้จากข้อ 3 ซึ่งการตั้งราคาเพื่อให้ขายได้ ก็ต้องไม่ลืมที่จะสังเกตราคาของคู่แข่งด้วยเช่น ถ้าคู่แข่งตั้งราคา อเมริกาโน่ (คุณภาพใกล้เคียงกัน) ไว้ที่ 50 บาท ต่อแก้วเราอาจจะตั้งราคาที่เกาะกลุ่มไว้ อาจจะใช้หลักลงท้ายด้วยเลข 9 ตามหลักจิตวิทยา เป็น 49 บาท เพื่อทำให้รู้สึกว่าราคาสินค้าถูกลง แม้ว่าจริงๆแล้ว ราคาจะต่างกันเพียงแค่ 1 บาทแต่ถ้าสินค้าแทบไม่ต่างกัน ตัวเลขหลักหน้าที่น้อยกว่า ก็ย่อมมีผลต่อการตัดสินใจซื้อที่มากกว่าอยู่แล้ว .การตั้งราคาขายเป็นเรื่องที่สำคัญมากจริงๆ และเชื่อว่าถ้าเพื่อนๆเอาหลักการนี้ไปใช้ อย่างน้อย...เราก็จะได้กำไรตั้งแต่การขายชิ้นแรกแล้ว จากประสบการณ์ที่ผ่านมา...เราใช้วิธีการคำนวณนี้ตั้งแต่เริ่มต้นเปิดขาย ทำให้เห็นตัวเลขของกำไรตั้งแต่แรก แม้ว่าราคาที่ตั้งไว้จะแพงกว่าคู่แข่ง แต่ก็มั่นใจได้ว่าทุกๆแก้วที่ขายออกไปคือ 'กำไร' ที่เกิดขึ้นจริง และเป็นการคัดกรองลูกค้าที่ตัดสินใจซื้อสินค้าจากคุณภาพ ไม่ใช่แค่เพียงราคาถูกเพียงอย่างเดียวหลังจากนั้น จึงค่อยใช้โปรโมชั่นต่างๆ เพื่อกระตุ้นการขายให้มากขึ้น สร้างฐานลูกค้าประจำ และทำให้เกิดการซื้อซ้ำ ซึ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่จะทำให้ประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจได้อย่างแน่นอนค่ะ เครดิตรูปภาพทุกรูป โดย CANVA (TIPSTER)*STAR COVER"อย่ามัวแต่ดูมาดังกัน"*ทรูไอดีคอมมูนิตี้ ขอชวนทุกคนมาสนุกโคฟเวอร์ พร้อมลุ้นรับเงินรางวัลมูลค่ารวมกว่า 7,000 บาท (5 รางวัล) โคฟคนที่ใช่ ไลค์คนที่ชอบ`ร่วมสนุกได้ที่ ทรูไอดีคอมมูนิตี้ ห้อง cover บนแอปทรูไอดี` คลิกเลย >> https://ttid.co/UAnK/7y9jfqkqอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://bit.ly/3O1cmUQร่วมสนุกตั้งแต่วันที่ 10 มิถุนายน 2565 - วันที่ 3 สิงหาคม 2565ร่วมส่องโปรดีๆ โปรเด็ดๆ ที่ไม่ลับและไม่ควรพลาด มาร่วมแบ่งปันกันได้ที่ Community แชร์โปร