หากกล่าวถึง การ์ตูน สำหรับบ้านเราเมืองเรานี้ มักจะไม่ได้รับความนิยมจากผู้ใหญ่สักเท่าใดนัก ผู้ใหญ่ในสมัยก่อนมองว่าการ์ตูนเป็นเพียงสิ่งให้ความบันเทิง ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใด ๆ “สู้เอาเวลาอ่านการ์ตูนไร้สาระ ไปหาวิชาความรู้ใส่ตัวจะดีกว่า” ถ่อยคำดังกล่าว เชื่อว่าหลายคนในยุคเด็ก Gen x และ Gen y จะต้องได้ฟังคำพูดในทำนองนี้มาอย่างแน่นอน แต่ใครจะหารู้ไม่ การ์ตูนญี่ปุ่นในบางเรื่องนอกจากจะให้ความบันเทิงแล้ว ยังมีการแฝงแนวคิดทั้งเรื่องปรัชญา การเมือง เหมือนเป็นการปลูกฝั่งค่านิยมให้กับเยาวชนผ่านความบันเทิงง่าย ๆ โดยที่เยาวชนได้ซึมซับแนวความคิดนั้นไปโดยไม่รู้ตัวการ์ตูนที่อยากเล่าถึงวันนี้ มีแนวความเป็นแฟนตาซีสูง แต่ก็แฝงไปด้วยปรัชญา และการเมืองอย่างคาดไม่ถึง นั่นก็คือเรื่อง Full Metal Alchemists หรือ ชื่อภาษาไทย คือ "แขนกลคนแปรธาตุ" นั่นเอง การ์ตูนเรื่องนี้ถ้าดูตามมังงะ (Manga) หรือ สื่อที่มีรูปแบบเป็นหนังสือการ์ตูน จะมีภาคเดียวจนจบ แต่ถ้าตาม อนิเมะ (Anime) หรือ สื่อในรูปแบบของอนิเมชั่น จะมีเนื้อเรื่องแยกเป็นสองทางคือ Full Metal Alchemists ภาคแรกที่มีเนื้อเรื่องตามมังงะอยู่พักหนึ่ง แล้วเริ่มแซงเนื้อเรื่องตามมังงะ เนื่องจากคนเขียน เขียนไม่ทัน แต่ดันเป็นการ์ตูนที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในขณะนั้น เนื้อเรื่องภาคแรกจึงเข้ารกเข้าพงไปสักหน่อย จนกระทั่งต่อมาเมื่อมังงะจบ แฟนการ์ตูนมีการเรียกร้องขอให้ทำอนิเมะให้มีเนื้อเรื่องตามมังงะสักหน่อย ผู้สร้างจึงมีการรีเมคใหม่แบบ All New เป็นที่มาของเรื่อง Full Metal Alchemists ภาค Brotherhoodในส่วนของเนื้อหา กล่าวถึงพี่น้องคู่หนึ่ง คือ เอ็ดเวิร์ด เอลริค และ อัลฟองเซ่ เอลริค ซึ่งมีความสามารถในด้านวิชาแปรธาตุ กล่าวคือ ทั้งสองสามารถแปรวัตถุสิ่งหนึ่ง ให้เป็นวัตถุสิ่งหนึ่งได้ตามที่ตนเองต้องการ เพียงการเขียนองค์ประกอบที่เรียกว่า วงแหวนแปรธาตุ ลงบนวัตถุ หรือใกล้ ๆ กับวัตถุนั้น*หมายเหตุ การแปรธาตุนั้น เดิมต้องมีองค์ประกอบทางวิทยาศาสตร์เดียวกัน เช่น การแปรธาตุเลือดให้กลายเป็นดาบ เพราะเลือดมีธาตุของเหล็ก จึงสามารถแปรธาตุจากเลือดเป็นดาบได้ แต่จะแปรธาตุก้อนดินให้กลายเป็นน้ำไม่ได้ เพราะมีองค์ประกอบคนละอย่างกัน เป็นต้น จึงเป็นที่มาของคำว่า “การแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียมกัน”ส่วนพระเอกตัวหลักอย่าง เอ็ดเวิร์ด เอลริค มีความสามารถเพิ่มเติมคือ เขาสามารถแปรธาตุได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้วงแหวนแปรธาตุ เพียงแค่ประกบมือเข้าหากันคล้ายลักษณะการยกมือไหว้เจ้าแบบคนญี่ปุ่น ก็สามารถแปรธาตุได้แล้ว ส่วนน้องชายของเขาอย่าง อัลฟองเซ่ เอลริค ซึ่งต่อมาก็สามารถแปรธาตุโดยไม่ต้องใช้วงแหวนแปรธาตุได้เช่นกันในภายหลังแต่การจะแปรธาตุโดยไม่จำเป็นต้องใช้วงแหวนของพี่น้องคู่นี้ มีเงื่อนไขคือจะต้องเปิดประตูเพื่อเห็นสิ่งที่เรียกว่าแก่นแท้เสียก่อน จึงสามารถแปรธาตุได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้วงแหวน ซึ่งการที่จะเปิดประตูเพื่อพบกับแก่นแท้นั้น จำเป็นก็ต้องเสียค่าเปิดประตูก่อนจึงจะได้พบแก่นแท้นั้นได้พี่น้องเอลริคต้องการความอบอุ่นจากครอบครัว เนื่องจากพ่อของพวกเขาได้ทิ้งไปตั้งแต่ยังเล็ก เหลือเพียงแม่ที่เป็นที่พึ่งทางใจ แต่สุดท้ายแม่กลับต้องมาเสียชีวิตเพราะโรคร้ายบางอย่าง ทั้งสองจึงเกิดความคิดที่ใช้สารอันเป็นองค์ประกอบของมนุษย์ที่สามารถหาได้ตามร้านค้าทั่วไป มาสร้างแม่ของตนเองขึ้นมาใหม่ แต่ปรากฏว่า สิ่งที่พวกเขาสร้างขึ้นมากลับดูไม่คล้ายแม่คนเดิมเลย อีกทั้งเอ็ดเวิร์ด ยังต้องสูญเสียน้องชายเพราะถูกแก่นแท้เอาตัวไป ก่อนที่เขาจะเอาแขนข้างหนึ่งของตน แลกเปลี่ยนเพื่อดึงวิญญาณน้องชายกลับมา แล้วผนึกวิญญาณน้องชายของตนลงในชุดเกาะ แม้ว่าทั้งคู่ต่างได้รับพลังอันยิ่งใหญ่ แต่ก็ต้องสูญเสียความอุบอุ่นในครอบครัวที่พวกตนไปตรงนี้คือปรัชญาที่ผู้เขียนคงอยากนำเสนอ คือ การได้มาซึ่งสิ่งใดย่อมต้องจ่ายค่าตอบแทน ยิ่งของสิ่งนั้นมีราคามากเท่าใด ค่าตอบแทนยิ่งสูงมากขึ้นเท่านั้น และแก่นแท้แม้จะโหดร้าย แต่เป็นจริงเสมอ โดยการครอบครองพลังแห่งแก่นแท้นี้ ก็มิได้สร้างความสุขที่แท้จริงของพี่น้องคู่นี้เลย ทั้งสองจึงต้องออกเดินทางเพื่อตามหาวิธีการเอาร่างกายตนเองกลับคืนเอ็ดเวิร์ค ได้เข้าไปเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุของทางการ โดยคำแนะนำของ พันเอกรอย มัสแตง เนื่องจากนักเล่นแร่แปรธาตุของทางการจะได้สิทธิพิเศษในการเข้าถึงข้อมูลต่าง ๆ โดยเฉพาะข้อมูลเกี่ยวหินที่มีชื่อว่า "ศิลานักปราชญ์" ซึ่งเป็นหินพิเศษมีพลังในการสร้างสิ่งของใด ๆ ก็ได้ โดยไม่คำนึงถึงกฎการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียมกันอีกต่อไปสเกลของการ์ตูนจึงเริ่มใหญ่ขึ้น เมื่อเนื้อเรื่องไปเกี่ยวข้องกับเรื่องการเมืองปกครอง เนื่องจาก ประเทศสมมติที่มีชื่อว่าอเมทริส ที่ เอ็ดเวิร์คอาศัยอยู่นี้ มีการปกครองโดยรัฐบาลทหาร มี คิงก์ แบรดลี่ย์ เป็นผู้นำประเทศและเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด โดยมีความเกี่ยวพันกับองค์กรใต้ดินของเหล่าโฮมุนครูส ที่เคลื่อนไหว เพื่อก่อการสิ่งใดบางอย่างลับ ๆ โดยมีชิวิตของคนทั้งประเทศเป็นเดิมพัน ความสนุกของการ์ตูนเรื่องนี้ จึงไม่จำกัดอยู่กับการตามหา ศิลานักปราชญ์ เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังมีเรื่องของการปกครองประเทศเข้ามาเกี่ยวข้อง ให้น่าติดตามดู และเป็นการให้ผู้ชมได้เรียนรู้ถึงวิธีการใช้อำนาจของผู้นำประเทศอีกด้วยสุดท้าย สิ่งที่อยากนำเสนอจากการได้อ่านการ์ตูนเรื่องนี้ คือ การ์ตูนไม่ใช่เพียงแค่สิ่งที่ให้ความสนุกสนานบันเทิงเท่านั้น แต่หากอ่านไปด้วยคิดตามไปด้วย จะพบว่ามีอะไรที่ผู้เขียนการ์ตูนได้ซ่อนสาระความจริงจังเอาไว้ภายใต้การ์ตูนที่ให้ความบันเทิงสนุกสนาน หากผู้อ่านสามารถค้นพบสิ่งที่ซ่อนเอาไว้ในการ์ตูนได้ จะพบว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในการ์ตูนเรื่องนี้ แทบจะไม่ต่างกับสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตจริงของเราเลย เพียงแต่มีความแฟนตาซีเพื่อให้ดูน่าติดตามมากขึ้น ซึ่งไม่น่าแปลกใจเลยว่าเพราะเหตุใดประเทศญี่ปุ่นจึงเป็นประเทศที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว เพราะเขาใช้การ์ตูนในการ์ปลูกฝังเด็ก เนื่องจากอ่านง่ายและน่าติดตามมากกว่าหนังสือเรียนเป็นไหน ๆ ดังนั้นจึงอยากให้คุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่ลองพิจารณาดูว่า การ์ตูนสมัยนี้ ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ใหญ่จะมองว่าเป็นเพียงสิ่งไร้สาระอีกต่อไป ถ้าท่านใดอ่านบทความนี้แล้วเกิดสนใจ อยากลองให้ติดตามหาอ่านการ์ตูนเรื่องนี้สักครั้ง แล้วถ้าได้ความอย่างไรก็เอามาเล่าสู่กันฟังได้เลยนะครับปัจฉิมลิขิต หากท่านใดเคยสงสัยมุกหนึ่งที่เล่นกันในเพจ drama addict ที่มีรูปการ์ตูนสุนัขเรียก "พี่ชาย..." และมีข้อความต่อมาว่า "ฉันเกลียดเด็กเซ้นส์ดีอย่างเธอจริง ๆ" ก็มาจากเรื่องนี้ละครับ ตอนนี้เป็นตอนหนึ่งซึ่งอ่านแล้วรู้สึกหดหู่ แต่ก็คือความจริงของชีวิตขอบคุณภาพประกอบจาก wallpaperaccess : ภาพปก / ภาพที่ 1 / ภาพที่ 2 / ภาพที่ 3 / ภาพที่ 4 ครับ...ขอบคุณครับ