ความเดิมตอนที่แล้ว หลังจากที่ได้รับประสบการณ์การนอนค้างออนเซ็นในสนามบิน ทำให้รู้สึกถึงว่าโลกของเรามันช่างกว้างใหญ่นัก เมื่อคืนนอนหลับ ๆ ตื่น ๆ นะครับ เนื่องจากที่พักไม่ค่อยจะสะดวกสบายนัก แต่จำเป็นต้องแลกกับราคาที่ถูกกว่าพักโรงแรม เมื่อเช้าของวันที่ 5 มาถึง คณะเดินทางของเราออกเดินทางจากสนามบินนิวชิโตเสะ มาลงที่สนามบินนาริตะ ด้วยสายการบินภายในประเทศ ANA เครื่องบินภายในประเทศมีขนาดย่อมกว่าเครื่องที่นั่งมาจากประเทศไทย ความสนุกตื่นเต้นยังคงมีอยู่ทุกครั้งที่จำเป็นต้องนั่งเครื่องบินครับ ในครั้งนี้ก็เช่นกัน แต่ครั้งนี้ตื่นเต้นกว่าครั้งไหน โดยเฉพาะตอนลงสู่พื้นดินที่โตเกียว เพราะล้อหลังเครื่องบินกระแทกกับพื้นในขณะถึงพื้นครับ คิดว่าค่อนข้างแรงจนรู้สึกตัวสั่นไหวเลยทีเดียว ไม่นุ่มนวลเหมือนครั้งที่นั่งมาจากประเทศไทย คราวนี้จิกเบาะจริง ๆไม่ได้แกล้ง [อยากได้กลับบ้านเลย] [เครื่องบิน ANA พร้อมบริการ เครื่องบินขับดีนะครับ แต่ถ้าลงนุ่มนวลกว่านี้จะดีงามมาก] [เห็นโตเกียวแล้ว] ในโตเกียวบอกเลยว่า ของกินเยอะ ที่เที่ยวเยอะ ที่น่าไปก็เยอะ แต่สภาพร่างกายไม่ไหวแล้วครับ ส้นเท้าเริ่มแตกอย่างจริงจัง เมื่อเดินจะรู้สึกเหมือนมีมีดแทงอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นสถานที่จะไปจึงจำกัดเพียงไม่กี่ทีนะครับ เป็นที่น่าเสียดายจริง ๆ [คนเยอะมาก] ที่พักอันเป็นสถานีพักชั่วคราวในโตเกียวนี้ อยู่หลังวัดเซนโซจิครับ ดังนั้นไม่พลาดที่จะเดินมาชมวัดเซ็นโซจิแห่งนี้ ได้ถึง 3-4 รอบ ขนาดเท้าเจ็บนะเนี่ย [ที่มาของวัดโคมแดง โคมแดงอันมโหฬาร เด่นอยู่ที่หน้าประตู คามินาริมง] วัดเซ็นโซจิ แห่งนี้ตั้งอยู่ในเขตอาซาคุสะนะครับ จึงมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า วัดอาซาคุสะ หรือ วัดโคมแดง เนื่องจากมีโคมแดงอันเบอเริ่ม ตั้งเด่นอยู่ตรงบริเวณประตูทางเข้า โดยมีชื่อประตูว่า คามินาริมง หรือ ประตูอสนี ในตอนที่ไปถึงนั้นเป็นเวลาช่วงเที่ยงวัน คนเยอะอย่างมหาศาลครับ [เขาว่ากวักควันธูปใส่ตัวแล้วจะโชคดี ยังไม่ทันกวักควัน แค่โผล่หน้าเข้าไปลมก็พัดควันใส่หน้าเต็ม ๆ ] [ชุดกิโมโนน่ารักดีนะครับ ว่าแต่เขาใส่กันตอนฤดูร้อนไม่ใช่รึ] ประวัติของวัดเซนโซจินี้สร้างขึ้นเพื่อบูชาพระโพธิสัตว์คันนง ตามตำนานประมาณว่ามีพี่น้องสองท่าน ชื่อว่า ฮิโนกูมะ ฮามานาริ และฮิโนกูมะ ทาเกนาริ ไปออกหาปลา ปรากฏว่าวันนั้นหาปลาไม่ได้สักทีจึงอธิษฐานขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ขอให้จับปลาได้สักตัว เพื่อกลับไปทานเป็นอาหารเย็น พอเหวี่ยงแหออกไป สิ่งที่ติดแหขึ้นมา กลับเป็นองค์เจ้าแม่กวนอิมทองคำ จึงได้นำกลับไปให้หัวหน้าหมู่บ้าน [ประตูคามินาริมงจากมุมสูงกันบ้าง] [วิวโตเกียวสกายทรี โดดเด่นเป็นสง่า] ต่อมาด้วยความเลื่อมใสในองค์เจ้าแม่กวนอิม หัวหน้าหมู่บ้านจึงได้เปลี่ยนแปลงบ้านของตนให้กลายเป็นวัดขนาดเล็ก และให้เป็นที่ประดิษฐานพระโพธิสัตว์กวนอิม เพื่อให้คนในหมู่บ้านมากราบไหว้บูชา เมื่อผู้ที่มาขอพรได้ประสบความสำเร็จดั่งหวัง ทำให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น จนกระทั่งเรื่องไปถึงท่านโชกุน ท่านโชกุนจึงสร้างอาคารหลังใหญ่ขึ้น และค่อย ๆ ต่อเติมส่วนต่าง ๆ เรื่อยมา จนกระทั่งในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง อาคารส่วนใหญ่ของวัดเซ็นโซจิ ได้รับความเสียหายจากการระเบิด และได้รับการบูรณะขึ้นใหม่ในภายหลัง [หน้าวัดเซนโซจิตอนประมาณทุ่มกว่า ๆ ] [วัดปิดแล้ว แต่คนไม่กลับ] เวลาเปิด-ปิด ทุกวัน 6:00 - 17:00 น. ส่วนช่วงเดือนตุลาคม - มีนาคม เวลาเปิด-ปิด คือ 6:00 - 16:30 น. คือ เปิดปิดเฉพาะตัวอุโบสถนะครับ แต่ทางภายในวัดยังคงเดินได้อยู่ เคยเดินผ่านตอนไปหาของทานเล่นช่วงทุ่มกว่า แต่เห็นว่าปิดจริง ๆ คือ ช่วงเวลาประมาณ สามทุ่มนะครับ [สิ่งหนึ่งที่เห็นกันทั่วไปคือตู้กดน้ำพิศวงครับ มันมีพลังพิเศษที่จะดึงดูดเงินในกระเป๋าอย่างยิ่ง โดนมาแล้วกับตัวหมดไปหลายร้อยเยนเชียวละ] การเดินทาง วัดแห่งนี้ตั้งอยู่ที่สถานีอาซาคุสะเลยรับ ขึ้นมาจากสถานี เดินไปประมาณ 5 นาที ก็จะถึง แต่ถ้าแวะกินเบ็นโตะเซ็ตระหว่างทางก็อาจจะใช้เวลาเป็นชั่วโมงกว่าจะถึงนะครับ เพราะเส้นทางจากสถานีไปวัดเซ็นโซจินั้น ของกินเยอะมาก วันต่อมาในวันที่ 6 คณะเดินทางของเราได้ตกลงกันว่าจะเดินทางไปเที่ยวที่ภูเขาไฟฟูจิ หรือฟูจิซัง หลังจากนั่งเฝ้าสังเกตการณ์ภูเขาไฟภูจิผ่านเว็บไซต์มาตลอดทุกวัน เนื่องจากกลัวว่าฟ้าจะปิด และเราไม่มีโอกาสได้เห็นฟูจิซัง ซึ่งจากการเฝ้าสังเกตการณ์ในแต่ละวันพบว่าสองวันที่ผ่านมาฟ้าใสตลอด ในเช้าตรู่วันที่หก ตื่นมาตั้งแต่เวลาประมาณ 4 นาฬิกากว่า ๆ (แต่ฟ้าสว่างเหมือน 9 โมงตามเวลาบ้านเรา) ก็ได้บอกกับหัวหน้าคณะเดินทางที่ยังหลับอยู่ว่าจะออกไปเดินชมบรรยากาศในตอนเช้า แล้วจะกลับมาให้ทันเวลาอาหารเช้า เมื่อเดินออกมาถึงถนนใหญ่ ก่อนถึงวัดเซ็นโซจิ ไม่พบผู้คนแม้แต่คนเดียว ทุกอย่างเงียบสงบราวกับเป็นเมืองร้าง ต่างจากเมื่อวานตอนเที่ยงๆ อย่างสิ้นเชิง จึงได้มีโอกาสเดินเล่นไปเรื่อย เดินไปทั้งที่เท้าเจ็บ ๆ อย่างนั้นละครับ แต่ก็ไม่สามารถเดินไปไหนไกลได้ เนื่องจากต้องกลับมาให้ทันอาหารเช้าของโรงแรม หากมาไม่ทันอาจจะโดนคณะเดินทางเอ็ดเอาได้ [เวลา 5 นาฬิกาตามเวลาท้องถิ่น] [อยากได้รูปสวย ๆตื่นเช้า ๆครับ นึกว่าเมืองร้าง] ผ่านไปกว่า 1 ชั่วโมง หลังจากนั้นจึงเดินกลับมาทานอาหารเช้าที่โรงแรม ช่วงนี้จึงเริ่มเห็นผู้คนบนท้องถนนบ้างแล้ว อาหารเช้าของโรงแรมไม่เหมือนกับที่ซัปโปโรนะครับ ที่โรงแรมนี้เขามีให้เลือกสองเซ็ตครับ เป็นเซ็ตอาหารญี่ปุ่น กับ เซ็ตอาหารฝรั่ง เนื่องจากพักสองวันเลยลองทานทั้งสองอย่างเลย ผลสรุป เคยชินกับอาหารฝรั่งมากกว่า แต่ให้น้อย ส่วนเซ็ตอาหารญี่ปุ่นพอกินได้แต่ก็ยังคงรสเค็มนำอย่างเสมอต้นเสมอปลาย หลังจากเสร็จสิ้นมื้อเช้าเราก็ออกเดินทางไปเยี่ยมฟูจิซังทันที อากาศที่โตเกียว จะอบอุ่นกว่าซัปโปโร แต่พอโดนลมพัดเท่านั้นละ ต้องรีบหยิบเสื้อกันหนาวขึ้นมาสวมใสทันที ที่โตเกียวช่วงที่ไปลมแรงมาก ด้วยความที่ไม่เคยไป และใช้วิธีคลำทางไปกันเอง ดังนั้น ต้องเสียเวลาต่อรถไฟถึง 3 ต่อกว่าจะไปถึงที่สถานีคาวากุชิโกะ ซึ่งเป็นสถานีปลายทาง จุดเยี่ยมชมฟูจิซังนั้นมีหลายแห่งนะครับ แต่ทริปในวันนี้เรามาได้เพียงจุด ทะเลสาบคาวากุชิ ที่เดียวเท่านั้น กว่าจะมาถึงก็ใช้เวลาไป 4 ชั่วโมงแล้ว เมื่อเข้ามาในเขตระหว่างเดินทางโดยรถไฟ ฟูจิซังจะโผล่มาทักทายให้เราได้เห็นบ้าง เพียงแค่เห็นอยู่ไกล ๆ ก็รู้สึกว่าใหญ่โตแล้ว กล่าวถึงฟูจิซัง หรือภูเขาไฟฟูจิยามะ แห่งนี้ เป็นภูเขาที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น เกิดจากการทับถมกันของลาวาจนกระทั่ง ภูเขาไฟมีความสูง 3,776 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล และเป็นภูเขาไฟที่ยังถือว่าไม่ดับ ซึ่งหมายความว่าฟูจิซังอาจระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ แม้ว่าการระเบิดครั้งล่าสุดที่บันทึกไว้จะตั้งแต่เมื่อปี พ.ศ. 2250 หรือเมื่อ 311 ปีก่อนก็ตาม [ความช่างคิดอันน่ารักของชาวญี่ปุ่น] [ฟูจิซังโผล่หน้ามารับที่ สถานีคาวาคุชิโกะ] เมื่อลงจากสถานีแล้วเดินทางไปยังทะเลสาบคาวากุชิ จะมีช่วงหนึ่งที่เหลี่ยมเขาบังฟูจิซังเอาไว้อยู่ ขณะนั้นเมื่อทราบจุดหมายที่แน่นอนจึงขออนุญาตหัวหน้าคณะว่าจะขอล่วงหน้าไปก่อน ซึ่งหัวหน้าคณะก็ยินดีอนุญาตให้ล่วงหน้าไปก่อน โดยอาสาจะดูคุณแม่และคุณน้าเอง เมื่อนั้นจึงเร่งฝีเท้าพร้อมด้วยอุปกรณ์ถ่ายรูป รีบจ้ำอ้าวไปอย่างรวดเร็ว [โผล่มาให้เห็นแล้ว ฟูจิซัง วันนี้ฟ้าใส จึงเห็นคุณฟูจิใส่หมวก] เมื่อเดินมาถึงทะเลสาบคาวากุชิแล้ว เมื่อหันไปดู ภาพที่เห็นคือ ด้านหลังของเหลี่ยมภูเขาสีเขียวที่บังอยู่ในขณะนี้ คือภูเขาลูกใหญ่สีขาวขนาดมหึมา ใหญ่โตขนาดที่กล้องถ่ายรูปไม่สามารถบรรยายความใหญ่โตของภูเขาสีขาวลูกนี้ได้จริง ๆ ครับ จากจุดนี้ ยัง ใช้เวลาเดินไปกว่า 30 นาที กว่าจะพ้นเหลี่ยมเขาที่บังอยู่ จนถึงจุดที่เหมาะแก่การถ่ายรูป หลังจากนั้นจึงนั่งพักเหนื่อย ชื่นชมความใหญ่โตของฟูจิซังร่วม ๆ 20 นาที หัวหน้าคณะก็โทรไลน์มาตาม เนื่องจากการเดินทางกลับก็ใช้เวลาอีกหลายชั่วโมงเกรงว่าจะไม่ทันรถไฟ คณะเดินทางอันประกอบไปด้วยผู้ชราทั้งสองท่าน ไม่สามารถเดินตามมาได้ไหว จึงได้แต่เก็บภาพกลับไปให้ทุกคนดูแทน [ภาพจากกล้องไม่สามารถบรรยายความใหญ่โตได้เท่าที่ตาเห็นเลยครับ] [พยายามทำให้เห็นความใหญ่โต โดยเทียบสเกลกับตึก] [มีความสุขจริงเชียว ตกปลาไป ชมความใหญ่โตของฟูจิซังไป] [ลาก่อนฟูจิซัง มีโอกาสคงได้พบกันใหม่] [รู้สึกรันเวย์จะไม่ว่าง เครื่องบินจึงขับไปวนที่บางประกงมาหนึ่งรอบ] และแล้วทริปอันหรรษาของเราครั้งนี้ ก็เป็นอันต้องสิ้นสุดลงแล้วครับ ตามคำกล่าวที่ว่า "งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา" การท่องเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรกนี้ ถือได้ว่าเป็นประสบการณ์สำคัญครั้งหนึ่งในชีวิต ที่ได้มีโอกาสไปเหยียบในดินแดนอื่นที่ไม่ใช่แผ่นดินเกิดของเรา สำหรับนักท่องเที่ยวขาประจำที่เดินทางบ่อยครั้งอาจจะไม่ได้รู้สึกอะไร แต่สำหรับผู้ที่ไม่เคยได้ไปมาก่อน นับว่าเป็นการเปิดหูเปิดตาที่ดีงามเป็นอย่างยิ่ง ได้เห็นความแตกต่างทางด้านวัฒนธรรม ได้เรียนรู้วิถีชีวิตของบุคคลที่ได้ชื่อว่ามีระเบียบวินัยอันดับต้น ๆ ของโลก จนชื่นชอบวัฒนธรรมความเป็นอยู่ของเขาและมีความคาดหวังว่าจะต้องกลับไปอีกครั้งให้ได้ ...THE END... ภาพประกอบโดย : Shenzhen inDY