ความเดิมตอนที่แล้ว...หลังจากลัดฟ้ามาลงที่สนามบินนิว-ชิโตเสะ ก็พยายามช่วยกันคลำหาทางขึ้นรถไฟต่อมาที่ซัปโปโร มีความทุลักทุเลบ้างเล็กน้อย เพราะแต่ละคนต่างก็มีกระเป๋าใบใหญ่เป็นสัมภาระติดตัวมาด้วย ถึงแม้ว่าจะเป็นช่วงปลายฤดูหนาว เข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิแล้วก็ตาม แต่ชาวเราที่เคยชินกับสภาพอากาศใกล้เส้นศูนย์สูตรมาตลอดชีวิต ยังรู้สึกถึงความหนาวเย็นกว่าปกติได้ ต่างหยิบเสื้อกันหนาวที่เตรียมมาสวมทับเสื้อตัวนอกก่อนจะเดินออกจากเครื่องบิน คณะเดินทางครั้งนี้ มีพี่ชายเป็นผู้นำทีม ซึ่งมีความสามารถทางด้านภาษาอังกฤษเป็นอาวุธติดตัว อีกทั้งก่อนเดินทางมาญี่ปุ่น ก็ได้มีการศึกษาประเพณีและวัฒนธรรมของชาวญี่ปุ่นมาอย่างจริงจัง ดังนั้นพอเจอชาวญี่ปุ่นจึงพร้อมเข้าไปทำความรู้จัก แม้จะพูดผิดพูดถูกก็ตาม แต่เขาไม่มีความหวั่นเกรงในเรื่องกำแพงภาษา หรือใช้อุปกรณ์เทคโนโลยีมาช่วยเหลือแต่อย่างใด พลังการเอาตัวรอดในต่างแดน อยากจัดให้อยู่ในระดับ S เลยครับ ผิดกับตัวน้องชายคนนี้ ที่ไม่เอาอ่าวในเรื่องภาษาเลยสักนิด ดังนั้นจึงต้องพึ่งพาอาศัยอุปกรณ์เทคโนโลยีเข้ามาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวทางจิตใจแทน ทั้งแอปเเปลภาษา ทั้งแผนที่นำทาง Google map พร้อมสรรพ เผื่อเอาตัวรอดในกรณีที่นึกสนุกอยากออกไปเดินเที่ยวคนเดียว [ สถานีรถไฟซัปโปโร : สถานีศูนย์กลางการเดินทางของเรา ] เมื่อลงมาจากสถานีรถไฟซัปโปโร ก็ตรงไปยังโรงแรมที่พักซึ่งอยู่ห่างจากสถานีรถไฟประมาณ 800 เมตร เพื่อไปขอฝากกระเป๋าสัมภาระไว้ที่โรงแรมก่อน เพราะยังไม่ถึงเวลาที่จะเช็คอินเข้าพักได้ ซึ่งทางโรงแรมที่พักก็ยินดีให้รับฝากกระเป๋าของเราเอาไว้นะครับ หลังจากลงทะเบียนฝากสัมภาระเรียบแล้วก็จึงพากันออกมาหาอาหารทานรองท้อง [ ขวดเหล้าญี่ปุ่น : ของตกแต่งภายในโรงแรมที่พัก ] อาหารมื้อแรกที่ได้รับประทานตั้งแต่มาถึงญี่ปุ่น คือ ราเม็งครับ ร้านราเม็งที่ไปนี้ตั้งอยู่ที่หน้าสถานีรถไฟซัปโปโร ตอนเข้าไปสั่งนั้นจะอาศัยบารมีที่สั่งสมมาตอนกินฮาจิบังก็ไม่เกิดประโยชน์อันใดเลยครับ เพราะไม่คุ้นสักอย่าง การสื่อสารก็ตามมีตามเกิด พี่ชายพยายามสนทนาด้วยภาษาอังกฤษ แต่ทางร้านก็พยายามตอบกลับมาด้วยภาษาญี่ปุ่น สุดท้ายตัดสินใจจิ้มสั่งคนละอย่างมาลองชิมดู ที่ร้านนี้เวลาสั่ง เขาให้สั่งผ่านตู้หยอดเหรียญอัตโนมัตินะครับล้ำสมัยมาก [การจราจรค่อนข้างคับคั่ง : ทางด้านขวามือในรูป คือโรงแรมที่เข้าพัก] [ กลับมาที่หน้าสถานีรถไฟอีกครั้ง : ตู้แดง ๆ ทางด้านขวามือในรูป คือร้านราเม็งที่ได้ทานเมื่อมาถึงญี่ปุ่น ] ใช้เวลาไม่นาน ราเม็งของทุกคนก็มาถึง แม้แต่ละชามจะมีรูปร่างหน้าตาแตกต่างกันอยู่บ้าง แต่สิ่งที่ทุกคนลงความเห็น และมีมติเป็นเอกฉันท์ คือ น้ำซุปมีรสเค็มอย่างโดดเด่น และให้เส้นเยอะมาก ซึ่งสำหรับคนไทยที่มีความเคยชินกับการทานอาหารเน้นรสชาติเป็นสำคัญมากกว่าการทานอาหารแบบเป็นศิลปะ ย่อมรู้สึกไม่ค่อยถูกปากนัก บอกเลยครับ...คิดถึงฮาจิบังแถวบ้านมาก หลังจากนั้นจึงเข้าเช็คอินที่โรงแรม โรงแรมที่พักแห่งนี้มีขนาดห้องที่ไม่กว้าง ไม่แคบ เกินไปนัก แต่สำหรับห้องน้ำนี้คับแคบมากครับ ถ้าเทียบกับที่บ้านเรา พอสำรวจไปที่ชักโครก ก็รู้สึกถึงความไม่ถนัดขึ้นมาทันที เนื่องจากอุปกรณ์คู่บุญอย่างสายฉีดที่คุ้นชิน กลับกลายเป็นเทคโนโลยีกดปุ่มแล้วมีน้ำพุ่งออกมาจากใต้โถชักโครกแทน มีเวลาหลายชั่วโมงก่อนที่จะหาข้าวเย็นทานก่อนเข้าห้อง จึงหาที่ชอบ...ที่ชอบ ไปกันโดยไม่อยากเสียดายเวลาในการท่องเที่ยว จุดหมายแรกจึงถูกกำหนดไปที่ ศาลาว่าการเมืองฮอกไกโดหลังเก่า ที่อยู่ห่างจากที่พักไปประมาณกิโลกว่า ๆ ซึ่งใช้เวลาเพียงชั่วเคี้ยวหมาก(ฝรั่ง)แหลกก็ถึง [ทำเนียบอิฐแดง : ยังคงเต็มไปด้วยผู้คน แม้จะเป็นเวลาเย็นแล้วก็ตาม ] [สวนในบริเวณ ทำเนียบอิฐแดง : สถานที่เห็นซากุระเป็นครั้งแรก ] ศาลาว่าการเมืองฮอกไกโดหลังเก่า หลังนี้ มีลักษณะสถาปัตยกรรมแบบฝรั่ง เมื่อเปิดประวัติดูก็จะพบว่า ศาลว่าการฯ แห่งนี้ มีชื่อเรียกอีกอย่างว่า “ทำเนียบอิฐแดง” เป็นอาคารที่ถูกสร้างตามแบบนีโอบาโรกของอเมริกาในปี ค.ศ. 1888 สมชื่ออิฐแดงจริง ๆ ครับ เพราะเห็นแต่ไกล แม้ตัวตึกจะมีขนาดไม่สูงใหญ่เท่าใดนัก แต่ก็โดดเด่นท่ามกลางตึกสูงระฟ้าที่รายล้อมอยู่โดยรอบ ส่วนรอบ ๆ บริเวณ ศาลาว่าการฯ มีการจัดสวนที่ดูสวยงามและเป็นธรรมชาติ และที่สำคัญ ในที่สุดเราก็ได้มาสัมผัสด้วยตากับ ดอกซากุระ อุปกรณ์ที่เตรียมมาทั้งเลนส์และขาตั้งกล้องไม่สูญเปล่าแล้ว [อีกมุมหนึ่งของทำเนียบอิฐแดง : โดดเด่นเป็นสง่าจริง ๆ ] เราใช้เวลาเที่ยวชม ศาลาว่าการเมืองฮอกไกโดหลังเก่า นี้ประมาณ 45 นาที ก็จึงออกเดินทางต่อไปยัง สวนสาธารณะโอโดริ เพื่อไปพบกับเพื่อนของพี่ชาย ซึ่งเขาเป็นคนไทยไปทำงานอยู่ในเมืองซัปโปโร ตามประสาคนเคยเรียนมาด้วยกัน โดยเพื่อนของพี่ชาย เมื่อทราบว่ามาเที่ยว ก็อาสาเป็นมัคคุเทศก์จำเป็นให้ ซึ่งที่เมืองซัปโปโรแห่งนี้ มีเด็กไทยอยู่เยอะเหมือนกันนะครับ ขนาดโรงแรมที่เข้าพัก ก็มีพนักงานท่านหนึ่งเป็นคนไทยด้วย ทำให้เกิดความสะดวกในการสื่อสารหลาย ๆ อย่างมากขึ้นสำหรับการเข้าพัก ราวกับพบแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ [Sapporo TV Tower : หนึ่งในซิกเนเจอร์ที่สวนสาธารณะโอโดริ ] [ซากุระที่โอโดริ : จะเป็นอะไรไหมถ้าจะเรียกว่า พญาเสือโคร่งญี่ปุ่น ] สวนโอโดริ นี้ตั้งอยู่ห่างจาก ศาลาว่าการเมืองฮอกไกโดหลังเก่าไป ประมาณ 700 เมตร สวนแห่งนี้ โดยในช่วงเวลาปกติ ก็เป็นสวนสาธารณะใจกลางเมืองซัปโปโร ทอดยาวออกไป ประมาณ กิโลกว่า แต่หากเป็นช่วงเทศกาลหิมะ ลานแสดงประติมากรรมแห่งหิมะก็คือตรงบริเวณแห่งนี้ละครับ พอหมดหิมะ ดอกซากุระก็มาบานแทน เกิดความสวยงามไปอีกแบบ ปลายสุดของสวนด้านหนึ่งจะเป็นที่ตั้งของ Sapporo TV Tower ซึ่งเป็นหอส่งสัญญาณทีวี สามารถขึ้นไปชมความงามของสวนโอโอริในมุมสูงได้ [ บนถนนเส้นหนึ่งในซัปโปโร : ยิ่งฟ้ามืดลง อุณหภูมิก็เริ่มลดลง ยิ่งดึกยิ่งหนาวนะครับ ซึ่งหนาวสุดที่เจอในทริปนี้ คือ 7 องศา ] [ บนถนนเส้นหนึ่งในซัปโปโร : มัคคุเทศก์จำเป็นบอกว่า ห้างฯ นี้ ประมาณ สยามพาราก้อนบ้านเรา ไม่รู้ว่าจริงเท็จประการใดนะครับ ] [ บนถนนเส้นหนึ่งในซัปโปโร : ฟ้ามืดแล้ว...หิวข้าวแล้ววว ] [ บนถนนเส้นหนึ่งในซัปโปโร : ทาโกะยากิ เอามารองท้องก่อน รู้สึกจะโดนไป 500 เยน ] [ บนถนนเส้นหนึ่งในซัปโปโร : นายคิดเหมือนฉันไหม B1 ] [ บนถนนเส้นหนึ่งในซัปโปโร : ฉันกำลังคิดอยู่นะ B2 ] หลังจากได้พบกับมัคคุเทศก์จำเป็นของเราท่านนี้แล้ว ก็ได้นำพาเราชมเมืองไปในสถานที่ต่าง ๆ โดยมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่ ตึก Cyber city nanda ที่แห่งนี้ มีร้านอาหารญี่ปุ่น แบบบุฟเฟต์ สไตล์คนไทยอยู่ชื่อว่า ร้าน Nanda ร้านแห่งนี้ เป็นสยามทาวน์ในซัปโปโรดี ๆ นี่เอง เพราะคนไทยเยอะมาก นอกจากจะขึ้นเชื่อเรื่อง กุ้ง หอย ปู ปลาแล้ว ยังมีการนำรสชาติแบบที่คนไทยคุ้นเคยมาเป็นจุดขายให้กับทางร้าน ได้บรรยากาศเหมือนได้กลับบ้านชั่วขณะหนึ่ง ส่วนเรื่องราคา เมื่อเป็นบุฟเฟต์แบบญี่ปุ่น ราคาก็มิได้เบาเอาการเลยทีเดียว โดนไป คนละ 2,500 เยน แบงค์หมื่นเยนถูกละลายหายไปอย่างรวดเร็ว [ ณ ร้าน Nanda : คนเยอะมากครับ ของเติมตามไม่ทัน ] [ ณ ร้าน Nanda : ตรงนี้พร่องไปเยอะเลย น่าจะอร่อย ] [ ณ ร้าน Nanda : ภาษาไทยก็มานะครับ บอกแล้ว สยามทาวน์ ] [ ณ ร้าน Nanda : สายตามีความมุ่งมั่นขนาดนี้กินกันลงได้อย่างไร ] หลังจากอิ่มหนำสำราญกับบุฟเฟต์ปิ้งย่างชุดใหญ่ ก็ถึงเวลาที่ต้องบอกลามัคคุเทศก์จำเป็นของเราที่ต้องเดินทางกลับไปดูแลครอบครัว ส่วนคณะเราก็พากันเดินทางกลับมายังโรงแรมเพื่อพักผ่อน หลังจากที่ผจญภัยเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ซึ่งวันนี้ก็ต้องขอจบไว้แต่เพียงเท่านี้ก่อนนะครับ ปัจฉิมลิขิต : ในขณะที่เดินเตร่อยู่ในเมืองซัปโปโร อาจจะได้ยินเสียงสัญญาณดังเป็นจังหวะบ่อยครั้ง เสียงสัญญาณนั้นเห็นว่าเป็นเสียงสำหรับเตือนให้คนที่พิการทางสายตาระวังว่าจะถึงจุดข้ามถนนแล้วนะครับ เป็นสิ่งที่ดีงามมาก แต่บางทีก็ได้ยินจนหลอนหูเลยนะครับ ปัจฉิมลิขิต 2 : บทความ ประสบการณ์ตะลุยญี่ปุ่นครั้งแรกนี้ อยากนำเสนอให้เป็นแนวทางสำหรับผู้ที่ต้องการเดินทางไปท่องเที่ยวในญี่ปุ่นนะครับ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวมือใหม่เช่นเดียวกันกับผู้เขียน ว่าถ้ามีโอกาสไปเที่ยวเป็นครั้งแรกจะต้องไปผจญภัย หรือพบเจอกับปัญญาข้อขัดข้องอย่างไรบ้าง เพื่อให้ผู้อ่านได้นำไปพิจารณาประกอบแผนการท่องเที่ยวของตนเองนะครับ โดยจะเล่าเรื่องให้ผู้อ่านได้รับฟังเป็นตอน ๆ ไป ถ้าอย่างไรก็โปรดติดตามต่อไปจนจบด้วยนะครับ...ขอบคุณครับ [ ตอนต่อไปของ ประสบการณ์ตะลุยญี่ปุ่นครั้งแรก ไปต่อโอตารุ ] ภาพประกอบโดย : Shenzhen inDY