ความเดิมตอนที่แล้ว...หลังจากอิ่มหนำสำราญกันจากที่ร้าน Nanda แล้ว ก็พากันเดินทางกลับมาพักผ่อนยังโรงแรมที่พัก โดยมีแผนว่าในวันรุ่งขึ้นจะออกเดินทางแต่เช้าไปเที่ยวที่เมืองโอตารุ เมืองที่ภาพยนตร์เรื่อง แฟนเดย์ ไปถ่ายทำมา ตอนแรกฝันว่าจะได้ไปตีระฆังบนยอดเขาที่เต็มไปด้วยหิมะแบบพี่เด่นชัย(พระเอก) เขาบ้าง แต่ดูจากราคาแล้วใช้เงินจำนวนหลายตังค์อยู่ ก็เลยล้มเลิกแผนการตีระฆังไปอย่างง่ายดาย เอาเงินไปซื้อทาโกะยากิดีกว่า หลังจากได้ทานแล้ว อร่อยติดใจมากแต่แล้วก็มีความรู้สึกอย่างหนึ่งได้เกิดขึ้นภายในร่างกาย เป็นความรู้สึกที่อัดอั้น ที่แม้นว่าจะพยายามอดทนมากสักพักแต่ก็ไม่อาจจะฉุดรั้งต่อไปได้ เพลงบัวช้ำ น้ำขุน ของพี่อี๊ด วงฟรายได้ปรากฏขึ้นในหัวทันที...อดทนมานานแล้ว เกินจะทนแล้ว ไม่อาจจะรับมันต่อไป ต้องยอมให้บัวช้ำ ยอมให้น้ำมันขุ่นแล้ว เพราะฉันประคองมันไม่ไหว ปิดฉากเลยแล้วกัน...วิ่งเข้าห้องน้ำอย่างรวดเร็ว!!!หลังจากนั้นก็จำเป็นต้องร้องเพลงพี่อี๊ดไปอีก 2-3 รอบ สันนิษฐานว่าหัวกุ้งที่ทานไปเมื่อหัวค่ำทำพิษเสียแล้ว คือปกติชอบแคะทานหัวกุ้งที่มันมันกุ้งเยิ้ม ๆ นะครับ พอมาถึงญี่ปุ่นได้เจอกับกุ้งย่างญี่ปุ่น ก็ไม่รอช้าแกะหัวทานทันที แต่...คุณพระ!!! รสชาติแปลก ๆ (บอกไม่ถูกต้องลองเอง) พอผ่านไปหัวหนึ่งไม่เอาดีกว่า เหมือนมีบางอย่างบอกว่าไม่ปลอดภัยในชีวิต ซึ่งคืนนั้นก็ได้เรื่องเลย โชคดีที่มียาธาตุน้ำขาวตรากระต่ายบินติดตัวไปด้วย ช่วยได้เยอะจริง ๆ ครับ ปกติการเดินทางไปไหนก็ตามจะไม่ค่อยเข้าห้องน้ำครับ ครั้งนี้ก็คาดไว้เช่นกัน คิดว่าคงจะท้องผุไปหลายวัน...แต่แล้ว ควรจะขอบคุณหัวกุ้งสินะ (หัวเราะ)[ สถานีรถไฟซัปโปโร ยามเช้า คนเยอะเหมือนกัน ]รุ่งเช้าวันต่อมา เมื่อรู้สึกตัวก็ได้พบเห็นท้องฟ้าผ่านทางหน้าต่างมันสว่างมาก คิดว่าตื่นสายเสียแล้ว รีบกุลีกุจอหาโทรศัพท์มาดูเวลา ปรากฏว่า นาฬิกาบอกเวลาตีสี่หน่อย ๆ แต่เดี๋ยวนะเพิ่งตีสี่ แต่ฟ้าสว่างมาก นึกว่าเป็นเวลา 8 - 9 โมงเสียอีก ด้วยความอยากรู้จึงเปิดดูใน Google เขาบอกว่าที่ญี่ปุ่นจะมีช่วงเวลาสว่างเร็วกว่าเมืองไทยบ้านเรา เนื่องจากเป็นประเทศที่อยู่ในเขตใกล้กับขั้วโลกเหนือ ดังนั้นจึงเป็นปกติที่ท้องฟ้าจะสว่างไว สมกับเป็นประเทศที่ได้ชื่อว่าแดนอาทิตย์อุทัย…แต่จะขึ้นไวเกินไปรึเปล่า!!![สำหรับท่านที่อยากทราบช่วงเวลาความมืดความสว่างในการไปเที่ยวญี่ปุ่น โดยไม่ต้องตกใจตื่น เว็บ timeanddate ช่วยได้นะครับ]เตรียมตัวเสร็จในเวลา 6 โมงเช้า (แต่ท้องฟ้าเหมือน 9 โมง) แต่นั่งเล่นอยู่ในห้อง รอเวลาห้องอาหารของโรงแรมเปิดในเวลา 7 โมงกว่า ๆ หลักจากนั้นก็มาพร้อมกันที่ห้องอาหารของโรงแรม อาหารมื้อเช้าของเราเป็นบุฟเฟต์ มีอาหารให้ทานอย่างหลากหลายทั้งแบบญี่ปุ่น แบบฝรั่ง ในห้องอาหารของโรงแรมมีผู้เข้าพักหลากหลายเชื้อชาติ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นคนจีน หลังจากนั้น ในเวลา 9 โมงกว่า ๆ ก็เดินทางออกจากโรงแรม เพื่อขึ้นรถไฟไปโอตารุ...[ วิวรางรถไฟ และท้องทะเล เท่มาก ][ น่าไปเดินสำรวจจริงๆ ][ ซากุระจะมีให้เห็นตลอดการเดินทางครับ ][ มาถึงแล้ว สถานีรถไฟ โอตารุ ][ วิวไกล ๆ สักภาพ ]ใช้เวลากว่า 2 ชั่วโมง ในที่สุดก็มาถึงสถานีโอตารุ สถานที่แรกที่จะไปคือ คลองโอตารุ ซิกเนเจอร์สถานที่แรกของเมืองโอตารุ ที่ควรไป ไม่อย่างนั้นเขาบอกว่ามาไม่ถึง คลองโอตารุแห่งนี้ เมื่อก่อนเขาเล่าว่าเป็นท่าเรือรับส่งสินค้า แต่ปัจจุบันเมื่อมีความก้าวหน้าเพิ่มขึ้น คลองโอตารุแห่งนี้จึงได้รับการปรับปรุงเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแทน ส่วนโกดังก็กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ และร้านอาหาร ว่าไปก็คล้ายๆ กับ เอเชียทีค บ้านเราเลย[ มีเดินขบวนกันด้วย ][ ชาวญี่ปุ่นท่านหนึ่ง หารายได้โดยการเล่นกีตาร์ ข้างคลองโอตารุ นอกจากนี้ยังมีร้านค้าอื่น ๆ ให้นักท่องเที่ยวได้เลือกชมสินค้าอีกมากมาย ]สถานที่ต่อไปที่ต้องไป นั่นก็คือ นาฬิกาไอน้ำโบราณ ที่พี่คุณชาย (ตัวโกง) โชว์มายากลให้น้องเหนียง (นางเอก) ดู ในเรื่องแฟนเดย์ ครับ หอนาฬิกาโบราณแห่งนี้ตั้งอยู่หน้าพิพิธภัณฑ์กล่องดนตรีโอตารุ ดังนั้นเมื่อถ่ายรูปกับหอนาฬิกาเสร็จ ก็เดินชมและช็อปปิ้งในพิพิธภัณฑ์กล่องดนตรีโอตารุต่อได้ทันที ส่วนฝั่งตรงข้ามของนาฬิกาไอน้ำโบราณ จะมีหอนาฬิกาสูงมีระฆัง 7 ใบ ซึ่งเป็นที่ตั้งของร้าน Letao ร้านชีสเค้กชื่อดังของโอตารุ เมื่อนาฬิกาไอน้ำดังเสร็จ หอนาฬิการ้าน Letao ก็จะดังตามในเวลาต่อมา ครื้นเครงดีครับ[ เมื่อมาถึง ด้านหน้าของพิพิธภัณฑ์กล่องดนตรีโอตารุ จะเห็นนาฬิกาไอน้ำโบราณตั้งอยู่ หลังจากนั้นก็สงบใจรอเวลานาฬิกาดัง ][ นาฬิกาไอน้ำ จะพ่นไอน้ำออกมาเป็นจังหวะเสียงเพลง ][ นาฬิกาจากร้าน Letao ดังขึ้นต่อ หลังจากนาฬิกาไอน้ำดังจบ เหมือนเป็นการให้เกียรติเหลื่อมเวลากัน ][ ภายในพิพิธภัณฑ์ และ ความน่ารักแมวนางกวัก น่าซื้อฝากสาว...อ่าว ลืมไปไม่มีแฟน อะเหือก~ ]เนื่องจากพี่ชายมีลงทะเบียนเข้าร่วมงานประชุม (สาระสำคัญงานหลักที่ต้องมาที่ญี่ปุ่น) ในตอนเย็น จึงจำต้องจากลาเมืองโอตารุไว้แต่เพียงเท่านี้ เราใช้เวลา 2 ชั่วโมงในการเดินทางกลับ หลังจากกลับมาถึงเมืองซัปโปโร พี่ชายก็แยกตัวไปทำงาน ส่วนตัวเราซึ่งได้รับมอบหมายให้ดูแลคุณแม่ ก็ได้ฝากคุณแม่ให้อยู่กับคุณน้าแท้ ๆ ที่ร่วมเดินทางไปด้วยให้นั่งเล่นอยู่ในห้องสองคน แล้วออกไปเดินสำรวจเมืองซัปโปโร ช่างเป็นลูกกตัญญูจริง ๆ คุณแม่นี่น้ำตาซึมด้วยความปลาบปลื้มในตัวลูกชายคนเล็ก...[ ขากลับมีหมอกลงด้วย หมอกมาเร็วมาก แถมอากาศก็เย็นลงจนต้องนำเสื้อกันหนาวที่เก็บไปแล้ว ออกมาใส่ ][ หอนาฬิกาซัปโปโร เดินหลง ๆ มาเจอ ]คนหนึ่งคน กล้องหนึ่งตัว ออกเดินทางได้ ...ระยะสำรวจในวันนี้ยังไม่กล้าร่อนไปไกลนัก กำหนดระยะทางเอาไว้ในรัศมีไม่เกิน 3 กิโลเมตร จากที่พัก สถานที่แรกที่เดินหลง ๆ ไปถึงนั่นก็คือ หอนาฬิกาซัปโปโร ครับ...หอนาฬิกาซัปโปโร ก็ถือเป็นซิกเนเจอร์ อย่างหนึ่งของเมืองซัปโปโร ถ้าไม่มาที่นี่ เขาว่ามาไม่ถึงซัปโปโร ดีนะที่มาถึงไม่อย่างนั้นคงเข้าใจว่ามาถึงแค่สนามบินสุวรรณภูมิ (หัวเราะ) หอนาฬิกาแห่งนี้ เขาบอกว่า ตัวเรือนนำเข้ามาจากบอสตัน ส่วนตัวอาคารของหอนาฬิกาสร้างขึ้นสมัยพัฒนาเมืองซัปโปโร เมื่อปี 1878 ภายในนั้นมีการจัดแสดงเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของสิ่งก่อสร้าง แต่ไม่ได้เข้าไปนะครับ คนเยอะมาก แล้วก็เดินเที่ยวต่อมาที่สวนสาธารณะนากาจิมะ ซึ่งอยู่ทางใต้ของตัวเมืองซัปโปโร เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ คล้าย ๆ กับสวนลุมพินี บ้านเรานี่เอง เมื่อเที่ยวชมจนเหนื่อยแล้วก็สมควรแก่เวลาจึงเดินทางกลับมายังโรงแรมที่พัก...ดูแลคุณแม่จนเมื่อยขาเลย[ มีต้นซากุระ ให้ถ่ายรูปอย่างหนำใจ ][ ดึงสีสันออกจากภาพ ได้ฟิลลิ่งเหมือนอยู่ในเรื่องเลงรักในสายลมหนาว (รู้อายุเลย) ]ตกตอนเย็น เมื่อทุกฝ่ายกลับมารวมกันที่โรงแรม จึงพากันไปหาของทานเป็นอาหารเย็นที่สถานีรถไฟซัปโปโร ก่อนที่จะเดินทางกลับห้องพักที่โรงแรม เป็นอันสิ้นสุดทริปในวันนี้[ ผู้ใหญ่หลายท่านอยากลองเบียร์ญี่ปุ่น ][ วันนี้อยูง่าย กินง่าย หลังจากเอาเงินไปถลุงมาเมื่อวาน ]ปัจฉิมลิขิต ความมีระเบียบวินัยของชาวญี่ปุ่นได้ชื่อว่ามีระเบียบวินัยเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก ถึงแม้ว่าจะมีกลุ่มคนที่แหกกฎบ้าง แต่ก็เป็นส่วนน้อย การข้ามถนนเจอมากับตัวเอง ขณะ ๆ กำลังเดินเล่นชมเมือง พอมาถึงทางข้ามที่ไม่มีสัญญาณไฟ เห็นรถยนต์กำลังเลี้ยวมา ก็เลยหยุดเดินเพื่อให้รถยนต์ไปก่อน ตามธรรมเนียมของบ้านเรา แต่กลับกันธรรมเนียมที่ญี่ปุ่น ในจุดที่ไม่มีสัญญาณไฟจราจร เขาจะให้คนเดินข้ามไปก่อน ที่นี้ คนไทยเดินถนนมาเจอกับคนญี่ปุ่นขับรถ ต่างคนก็ต่างหยุดชะงัก คนไม่ยอมข้าม รถไม่ยอมไป จอดกลางแยกเลย คนบนรถต้องส่งสัญญาณมือให้เราข้ามไปก่อนให้ได้ รถถึงจะแล่นต่อไปได้ คิดถึงแล้วก็ตลกดี นอกจากนี้หากมีขยะถูกทิ้งอยู่หน้าบ้านใคร เจ้าของบ้านจะรีบออกมาจัดการไม่มีการบ่นให้เห็นสักคำ ดังนั้นหากเดินทางไปต่างเมืองควรสังเกตท่าทีการปฏิบัติของชาวเมืองเขา ว่าเขามีวิถีชีวิตอย่างไร แล้วทำตามเขาปลอดภัยที่สุด ดั่งคำว่า "เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม" เพราะการเดินทางไปประเทศอื่น ไม่ใช่เพียงแค่เฉพาะตัวเราไปเที่ยวเท่านั้น แต่ยังแบกคำว่า "หน้าตาของประเทศ" ไปด้วยนะครับ[ ตอนต่อไป ประสบการณ์ตะลุยญี่ปุ่นครั้งแรก ตอน พาคุณแม่ไปเที่ยวสวนสัตว์ มารุยามะ ]ภาพประกอบโดย : Shenzhen inDY