ความเดิมตอนที่แล้ว...หลังจากที่ตะลุยเมืองโอตารุไปแล้ว แต่ยังไม่ทั่วถึงต้องกลับเสียก่อน คิดอยากจะฉายเดียวก็กลัวจะโดดเดี่ยวเกินไป ยังไม่ปีกกล้าขาแข็ง จึงต้องตามคณะเดินทางกลับก่อน (คาดว่าสำหรับโอตารุ ต้องมีนัดล้างตา ขอเวลาเก็บตังค์ก่อน คราวหน้าต้องไปตีระฆังหาแฟนให้ได้ครับ) วันนี้เป็นวันที่ 3 สำหรับการมาใช้ชีวิตที่ญี่ปุ่นชั่วคราว อาการท้องเสียก็ได้รับการซ่อมแซมกลับเป็นปกติดีแล้ว ซึ่งหัวหน้าคณะของเราในวันนี้ติดภารกิจต้องไปทำงานเสียแล้ว จึงเหลือสมาชิกทั้งหมดแค่ 3 คน เป็นผู้ชราไปเสียสองคน แล้วก็ไม่อยากอยู่ห้องเฉย ๆ จะไปไหนดีละ...เมื่อนั้นก็ไม่รอช้า Google map ฉันเลือกนาย!!! เพื่อหาที่ชอบ...ที่ชอบไป หลังจากเปิดสำรวจใน Google map ภายใต้ข้อจำกัดการท่องเที่ยวที่มีคือ อยากได้เป็นแหล่งท่องเที่ยว ไม่ใกล้ไม่ไกลจากที่พัก ถ่ายรูปได้ คนชราเดินทางได้ นี่ละ ที่ชอบ...ที่ชอบ ของเราวันนี้...สวนสัตว์มารุยาม่า... [ มาถึงสถานี มารุยามะ ก็ต้อนรับด้วยพื้นทางเดินลายสัตว์ชนิดต่าง ๆ ] สวนสัตว์มารุยามะ ตั้งอยู่ที่เชิงเข้ามารุยามะ ซึ่งอยู่ในเขตของเมืองซัปโปโร ซึ่งจากสถานีซัปโปโรนั้น สามารถนั่งรถไฟใต้ดิน ไปลงที่สถานีมารุยาม่าโคเอ็น ได้เลยนะครับ ใช้เวลาเดินทางประมาณ ครึ่งชั่วโมง แล้วเดินต่อไปอีกนิดหน่อยก็จะถึงสวนสัตว์ นอกจากจะเป็นที่ตั้งของสวนสัตว์แล้วยังมีส่วนที่เป็นสวนสาธารณะอยู่ด้วย ดังนั้นในช่วงวันหยุด จึงมีคนมาตั้งแคมป์ปิกนิกกัน โดยช่วงที่ไปนี้ ดอกซากุระกำลังบาน จึงมีผู้คนจำนวนมากมานั่งชมความงามของดอกซากุระกัน สำหรับสวนสัตว์จะมีสัตว์ชนิดต่าง ๆ ให้เราได้ชม สำหรับคนญี่ปุ่นแล้วไฮไลท์ของเขาจะเป็นสัตว์เขตร้อน เช่น ยีราฟ เสือ สิงโต หมี แต่สำหรับคนในเขตร้อนอย่างเรา ไฮไลท์กลับเป็นนกเพนกวิน และหมีขาวขั้วโลก ที่เคยเห็นแต่ในโฆษณาน้ำอัดลมเท่านั้น มีค่าเข้าชมสวนสัตว์ด้วยนะครับ ตกอยู่ที่คนละ 600 เยนโดยประมาณ [ ระหว่างทางเดินจากสถานีรถไฟ ไปสวนสัตว์ ] [ ก่อนถึงสวนสัตว์ต้องผ่านบริเวณที่เป็นสวนสาธารณะเสียก่อน ] [ ทางเดินขึ้นไปตามเนินเขา ก่อนจะเข้าถึงตัวสวนสัตว์ ไกลมากครับ ส่วนผู้ชราของเราเดินเก่งสุด ๆ ทั้งที่อายุ 70 ปีแล้ว ] [ พี่ ๆ กลุ่มนี้ ถูกกระรอกป่าตรึงความสนใจเอาไว้แล้ว ] [ ในที่สุดก็มาถึงจนได้ ] [ ความสนุกอย่างหนึ่งในการท่องเที่ยวญี่ปุ่น คือการไล่เก็บตราปั๊ม ของสวนสัตว์มารุยามะเป็นรูปน้องหมีขาว อยากให้ในบ้านเรามีอย่างนี้บ้าง ] [ ทักทายกันด้วยนกเหยี่ยว ] [ กำลังทำความรู้จักกันสินะ ] [ จิงโจ้...เพิ่งเคยเห็นครั้งแรก ] [ วัยรุ่นญี่ปุ่นตีกันซะแล้ว ] [ ลิงที่ชอบอยู่ตามออนเซ็นในหนังสือการ์ตูน ] [ มีเพนกวินด้วย แต่เป็นขนาดเล็ก เริ่มอยากเห็นเพนกวินจักรพรรดิ์เลย ] [ อ่าว...Rocket ไม่ไปเดินทางข้ามจักรวาลกับ Star Lord รึ ] [ แล้วก็มาถึงตัวเอสของสวนสัตว์แห่งนี้...หมีขาว ] [ ขากลับ ที่สวนสาธารณะคนยิ่งเยอะ ] เมื่อจบจากการท่องเที่ยวสวนสัตว์ก็รู้สึกเหนื่อยอย่างยิ่ง วันนี้เริ่มมีอาการเจ็บเท้าแล้ว โดยเฉพาะตรงบริเวณส้นเท้า จึงจำเป็นต้องหยุดพักไม่ได้ไปไหนต่อ อาหารเย็นในวันนี้เป็นข้าวกล่องจากร้านสะดวกซื้อใกล้ ๆ สถานีรถไฟซัปโปโร เนื่องจากงบประมาณเริ่มลดลงกว่าที่คาดและ ยังต้องเผื่องบประมาณไว้ไปผจญภัยต่อที่โตเกียวอีก แต่บอกเลยครับว่าแม้จะเป็นร้านสะดวกซื้อแต่คุณภาพอาหารดีพอ ๆ กับร้านอาหารมีชื่อในบ้านเราเลย ชอบมากโดยเฉพาะซูชิ ส่วนคุณแม่เหมือนจะติดใจกับมะหมี่สำเร็จรูปของญี่ปุ่นมาก จนต้องซื้อติดมือกลับมาบ้านด้วย ในวันรุ่งขึ้น เป็นวันที่ 4 สำหรับการมาใช้ชีวิตที่ญี่ปุ่นชั่วคราว ก็ถึงเวลาที่ต้องลาจากเมืองซัปโปโรกันแล้ว อาศัยเวลาในช่วงเช้าที่ทุกคนจัดเตรียมสัมภาระ ออกไปเดินชมเมืองอีกครั้ง โดยจุดหมายครั้งนี้อยู่ที่ หอกระจายสัญญาณ Sapporo TV Tower เพื่อขึ้นไปถ่ายภาพวิวของสวนสาธารณะโอโดริ วิวนิยมที่เขาถ่ายกัน การเดินทางก็อาศัยทางเดินใต้ดิน จากสถานีรถไฟซัปโปโร ต่อเนื่องกันไปถึง หอกระจายสัญญาณ Sapporo TV Tower ทางเดินใต้ดินนี้ เป็นทางเดินที่สร้างขึ้นสำหรับประชาชนสัญจร ในกรณีที่มีหิมะตกหนักขนาดเดินข้างบนถนนไม่ได้นะครับ ส่วนเราก็อาศัยทางเดินใต้ดินนี้ เนื่องจากไม่ต้องรอข้ามถนนตรงแยกไฟแดง ซึ่งมีทุก ๆ 200 เมตรเลยที่เดียว ตามลักษณะของเมืองที่มีการวางผังมาอย่างดี ใช้เวลาไม่นานเราก็ดำดินมาถึง หอกระจายสัญญาณ Sapporo TV Tower [ ภาพแต่ละมุมจากบนจุดชมวิว วันนี้หมอกลงแต่เช้าเลย มีฝนด้วย ] หอกระจายสัญญาณ Sapporo TV Tower แห่งนี้ เป็นหอคอยที่มีความสูงประมาณ 147.2 เมตร สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1956 เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของเมืองซัปโปโรในจุดชมวิวนั้นเป็นจุดที่สามารถเห็นวิวทิวทัศน์รอบเมืองซัปโปโรได้แบบ 360 องศาเลยทีเดียว สำหรับค่าเข้าชมก็โดนไป 720 เยนนะครับ ส่งภาษามือคุยกันกับเจ้าหน้าที่ พยายามคุยภาษาอังกฤษแล้ว แต่ไม่รอด หลังจากนั้นเราก็บอกลาโรงแรมที่พักในเมืองซัปโปโร เพื่อเดินทางมายังสนามบินนิวชิโตะเสะ คืนนี้เราจะค้างคืนกันที่ออนเซ็น (บ่อน้ำร้อน) ภายในสนามบินนิวชิโตเสะ เนื่องจากมีราคาถูกกว่าพบที่โรงแรม และสะดวกต่อการออกเดินทางโดยเครื่องบินมายังโตเกียวในเช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ตอนเข้าพักนั้นไม่ทราบวิธีการเข้าพักสักเท่าใด จึงฝากสัมภาระไว้ทั้งหมดรวมทั้งกล้องถ่ายรูปด้วย ดังนั้นจึงไม่ได้ถ่ายรูปภายในออนเซ็นมาให้ชมกันนะครับ แต่สิ่งที่เปิดประสบการณ์ใหม่ในการนอนค้างที่ออนเซ็น คือ การไปที่ล็อกเกอร์ในออนเซ็นซึ่งแยกเป็นฝั่งชายหญิงครับ ตอนแรกไม่ทราบจริง ๆ แต่พอเดินเข้าไปเท่านั้นละ มีแต่คนแก้ผ้าเดินไปเดินมา ตกใจเลยครับไม่ชินในการเห็นน้องชายคนอื่น ได้แต่หลับตาเดินไปที่ล็อกเกอร์ของตนเองเท่านั้น พอรู้ที่ตั้งล็อกเกอร์ของตนเองที่อยู่ลึกสุด ก็ตัดสินใจไม่ฝากของอะไรทั้งสิ้นครับ รีบเดินกลับออกมาอย่างไว มาทราบในภายหลังว่าที่ตั้งล็อกเกอร์นั้นเป็นจุดเก็บสิ่งของและเตรียมตัวก่อนจะเข้าในส่วนออนเซ็น หลังจากทานข้าวเสร็จก็เข้าไปนอนเล่นในห้องพักผ่อน ห้องแห่งนี้จะมีโซฟาที่ปรับเอนนอนได้ ถึงจะมีระบบระบายอากาศดีระดับหนึ่งแต่ก็รู้สึกร้อนอึดอัดไปหน่อย ส่วนตัวไม่ชอบนะครับ แล้วภายในห้องจะเงียบมาก ก็เลยไม่กล้าส่งเสียงดังเลย ได้นอนกลิ้งไปกลิ้งมาบนโซฟา ก่อนที่จะหลับไป.... วันนี้ขอจบไว้แต่เพียงเท่านี้ก่อนละครับ ตอนต่อไป จะไปตะลุยโตเกียวกันละ ปัจฉิมลิขิต เราเรียกประเทศที่เป็นเกาะอยู่ทางตะวันออกของจีนว่า "ญี่ปุ่น" ชาวตะวันตกเรียกว่า "แจแปน" ส่วยชาวญี่ปุ่นเรียกตนเองว่า "นิปปอน" หรือ "นิฮง" หรือ "นิปปง" ถึงจะออกเสียคนละอย่างแต่ลวนมาจากรากฐานเดียวกันคือคำว่า "日本" อ่านว่า “ญิตปง” ตามสำเนียงจีนในสมัยก่อน 日 (ญิต)= ดวงตะวัน ส่วน 本 (ปง)= รากกำเนิด...รวมกันเป็น "บุตรแห่งดวงอาทิตย์" นั่นเอง [ ตอนต่อไปของตะลุยญี่ปุ่นครั้งแรก...มาถึงโตเกียว ] ภาพประกอบโดย : Shenzhen inDY