ประโยคที่ว่า “ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ” ถือเป็นความฝันของใครหลายคน เนื่องจากการที่สุขภาพร่างกายของเรามีความแข็งแรงปราศจากโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ย่อมนำไปสู่ความสุขทั้งกายและใจ รวมไปถึงการมีพละกำลังที่จะสามารถกระทำการต่าง ๆ ได้มากมาย ไม่ต้องทนทุกข์ทรมาน ไม่ต้องไปโรงพยาบาลให้เสียเวลา ไม่ต้องสิ้นเปลืองไปการรักษาพยาบาลต่าง ๆ แต่ทว่าการจะเป็นผู้ที่ปราศจากโรคภัยใด ๆ ได้นั้น สิ่งสำคัญจะต้องเป็นผู้ที่สามารถดูแลรักษาและรับผิดชอบต่อสุขภาพร่างกายของตัวเองให้ดีเป็นพื้นฐานให้ได้เสียก่อน ความไม่มีโรคจึงอาจมีโอกาสเปลี่ยนจากความฝันให้กลายเป็นความจริงขึ้นมาได้บ้าง ขอบคุณภาพประกอบจาก unsplash การดูแลรักษาสุขภาพของตัวเราเองให้ดีจึงถือเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง เพราะในยุคปัจจุบันโรคภัยไข้เจ็บมีอยู่รอบตัวเรา การดูแลรักษาสุขภาพให้ดีอาจช่วยลดทอนความเสี่ยงการเกิดโรคภัยต่าง ๆ ลงได้บ้าง โรคเกี่ยวกับดวงตาก็ถือเป็นอีกปัญหาที่สร้างความทุกข์ทรมานให้กับมนุษย์เรา เพราะดวงตาคืออวัยวะสำคัญของร่างกายเราที่ทำหน้าที่ในการมองเห็นสิ่งต่าง ๆ รอบตัว หนึ่งในนั้นคือปัญหา “ตาต้อกระจก” ที่ส่งผลให้สายตาเราพร่ามัวเหมือนมองดูกระจกฝ้า ยิ่งแก้วตาดำมีความขุ่นมากขึ้น การมองเห็นก็จะลดน้อยลง ทั้งนี้แม้ต้อกระจกจะไม่มีความเจ็บปวดใด ๆ ให้รำคาญใจ แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาก็คือ สายตาที่พร่าเลือน มองเห็นภาพซ้อน สายตาสู้แสงสว่างไม่ได้ ตลอดจนมองเห็นสีของวัตถุต่าง ๆ ผิดเพี้ยนไปจากเดิม ซึ่งหากเราละเลย ไม่ดำเนินการรักษาแต่อย่างใด กระทั่งปล่อยทิ้งไว้นานวันอาจนำไปสู่การเกิดภาวะแทรกซ้อนจนถึงขั้นสูญเสียการมองเห็นได้ ขอบคุณภาพประกอบจาก unsplash อันที่จริงแล้ว แม้ว่าตาต้อกระจกจะเกิดกับผู้สูงอายุเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากปัจจัยการเสื่อมสภาพของดวงตาที่เป็นไปตามอายุ แต่ปัจจุบันโรคนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับคนหลากหลายวัย โดยเฉพาะวัยหนุ่มสาว หรือวัยทำงาน อันเกิดจากปัจจัยเสี่ยง และพฤติกรรมที่เป็นการทำร้ายดวงตาโดยไม่รู้ตัว เช่น การใช้สายตาที่มากเกินไป การดูแสงจ้าจากหน้าจอโทรศัพท์ หรือจากคอมพิวเตอร์มากเกินไป หรือแม้แต่แสงแดดจ้า ดังนั้นโรคตาต้อกระจกจึงถือเป็นอีกหนึ่งภัยใกล้ตัวที่อันตรายพอสมควรหากเกิดภาวะแทรกซ้อนและไม่สามารถดำเนินการรักษาได้อย่างทันท่วงที แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเราก็สามารถหลีกเลี่ยงการเกิดโรคนี้ได้ โดยมีวิธีการดังนี้ ขอบคุณภาพประกอบจาก unsplash เวลาขับรถ หรือต้องออกนอกบ้านท่ามกลางแสงแดดจ้า โดยเฉพาะในช่วงกลางวัน ควรสวมแว่นกันแดด เพื่อป้องกันรังสี UV ที่อาจทำอันตรายต่อดวงตา กระทั่งอาจเกิดภาวะต้อกระจก ขณะนั่งทำงานโดยใช้คอมพิวเตอร์ รวมไปถึงการดูหน้าจอ Smart Phone ควรพักสายตาประมาณ 5-10 นาที ทุก 1 ชั่วโมง โดยการเปลี่ยนไปมองจุดอื่น เช่น ดูภาพวิวทิวทัศน์นอกหน้าต่าง ดูผู้คน ดูภาพต่าง ๆ ที่อยู่ในห้องทำงาน เพื่อละสายตาจากหน้าจอและเปลี่ยนจุดโฟกัส กรณีเกิดอาการตาแห้งให้กะพริบตาถี่ขึ้น หรือใช้น้ำตาเทียมหยอดตาเพื่อบรรเทาอาการ และงดการขยี้ตา รับประทานอาหารที่มีคุณประโยชน์ โดยเฉพาะอาหารที่มีวิตามินเอ อี และซี ช่วยบำรุงสายตา เช่น ผักผลไม้ต่าง ๆ เข้ารับการตรวจสายตาเป็นประจำทุกปี เพื่อประเมินและวิเคราะห์สุขภาพดวงตา หากพบความผิดปกติหรือความเสี่ยงต่าง ๆ จะได้ดำเนินการรักษาได้ทันเวลา ขอบคุณภาพประกอบจาก unsplash หากดวงตาคือหนึ่งในอวัยวะของร่างกายเราที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง การดูแลรักษาและปกป้องดวงตาอย่างทะนุถนอมจึงถือเป็นอีกหนึ่งความสำคัญที่จะต้องคำนึงถึงด้วยเช่นกัน การดำเนินกิจวัตรต่าง ๆ ตลอดระยะเวลาของช่วงชีวิต ล้วนใช้ดวงตาเป็นตัวนำทาง เป็นตัวขับเคลื่อนพื้นฐานทั้งสิ้น แต่บ่อยครั้งที่เรามักมองข้าม หรือไม่ค่อยให้ความสำคัญที่จะใส่ใจดูแล ดังนั้นการหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ รวมถึงการปรับพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน ซึ่งอยู่ในภาวะวิสัยที่ทุกคนสามารถปฏิบัติได้ เพื่อช่วยป้องกันดวงตาของเราให้สามารถมองเห็นไปตลอดห้วงการมีชีวิต เพราะดวงตานั้นเป็นมากกว่าประตูสู่หัวใจ ขอบคุณภาพหน้าปกจาก unsplash