ประวัติศาสตร์สื่อสารผ่านหลายสิ่ง ความเป็นจริงของสถานยังคงอยู่ ผ่านสายตาผ่านการผ่านเรียนรู้ คงอยู่คู่คนรุ่นใหม่ได้พบพาน เรียนรู้เพื่อเข้าใจนำไปปฏิบัติ สุดท้ายคือซึมซับปรับให้งามตามวิถี เราคงเคยได้ยินผู้เฒ่าผู้แก่ ได้เล่าเรื่องราวความเป็นมาของสถานที่ ที่ไม่ว่าเรานั้นจะเดินทางไปสถานที่แห่งไหน ชื่อเรียกของสถานที่แห่งนั้นมักจะมีที่มา เรียกกันว่าประวัติศาสตร์ จริงหรือไม่ ไม่มีคนที่พิสูจน์ หรือพิสูจน์ไปก็ไม่มีใครเชื่อ เพราะมันคือความศรัทธา ความเชื่อที่ไม่ต้องการคำอธิบาย ความเชื่อในเรื่องของความลี้ลับ สังคมปัจจุบันเป็นโลกยุคไร้พรมแดน โลกที่เปลี่ยนไปแม้จะก้าวหน้าขนาดไหน แต่ความเชื่อในเรื่องเหล่านี้ไม่เคยเลือนหายไปจากสังคม ฝรั่งมาเห็นอาจจะบอกว่ามันคือเรื่องงมงาย แต่แท้ที่สุดแล้ว มันมีคุณค่าเสมอ ในทางจิตใจ อะไรก็ตามถ้าหากว่ามีความสุขแล้ว ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน เรื่องนั้นก็เป็นเรื่องที่ดี สุขทางใจ เหมือนสิ่งที่จะกล่าวต่อไปนี้ “แวงใหญ่” ชื่อนี้มีที่มาจากอะไร มีการเล่าต่อๆกันมาว่า คำว่าแวงใหญนั้นมาจากหนองน้ำที่ชื่อว่า หนองแวงและมีขนาดใหญ่ ซึ่งตอนนั้นมีคนอพยพเดินทางมาจากนครปฐม ชัยภูมิ และอุดรธานี และได้ตั้งชื่อตามหนองน้ำที่เมื่อเราเดินทางเข้ามาถึงแวงใหญ่จะเห็นหนองน้ำใหญ่สุดลูกหูลูกตา มีถนนตัดกลางครึ่งของแม่นำ้ สวยงามเย็นสบายตา ไม่ว่าเราจะไปอยู่ที่ใด จงเรียนรู้วัฒนธรรมและเข้าใจในสถานที่ที่ตนเองอยู่ เคารพในสิ่งที่คนพื้นที่นั้นเคารพ เชื่อในสิ่งที่ควรเชื่อ แต่อย่างมงาย กฏของความสุขคนเรามีเพียงเท่านี้ จากตำนาน ประเพณี สู่การเล่าเรื่องประวัติศาสตร์ "บุญกุ้มข้าว" เราเองที่เกิดในแดนดินถิ่นไทย ทางภาคอีสานตอนบน แน่นอนว่าแทบจะทุกพื้นที่จะมีการทำบุญนี้ เมื่อถึงเวลา ถ้าหากเป็นบ้านของผู้เขียนเอง จะกำหนดทางจันทรคติ คือ เดือนสาม ออกใหม่สามค่ำ จะมีประเพณีบุญกุ้มข้าว หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "บุญคูนลาน" คนในหมู่บ้านจะนำข้าวมารวมกันเพื่อที่จะทำบุญข้าว บูชาแม่โพสพ ซึ่งชาวไทยนั้นจะนับถือเพศแม่ ไม่ว่าจะ แม่น้ำ แม่ทัพ แม่โพศพ แม่ธรณี แม่คงคา หรืออีกมากมาย ข้าวจากชาวบ้านที่มารวมกันจะกองใหญ่ ยิ่งถ้าหากปีไหนกองใหญ่จะมีความเชื่อว่าได้ผลผลิตดี จากนั้นก็จะมีพิธีกรรมสวดโดยพระสงฆ์ (พิธีพราหมณ์) ครั้งนี้ผู้เขียนจะเล่าถึงบุญกุ้มข้าวใหญ่ ของอำเภอแวงใหญ่ ซึ่งอาจจะมีความแตกต่างในบางส่วน แต่คือบุญตามฮีตสิบสองคลองสิบสี่เหมือนกัน แต่ที่นี่ใช้บุญนี้เป็นบุญที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เรียกว่าบุญประจำปี ซึ่งมีการจัดงาน เตรียมงานเป็นระยะเวลามากกว่าหนึ่งเดือน แสดงออกถึงความสามัคคี เพราะในแต่ละตำบลของอำเภอแวงใหญ่ จะจัดริ้วขบวนตามที่ตนได้รับผิดชอบ มีการประกวดให้รางวัล รวมถึงทางด้านของเทคโนโลยี ให้รางวัลทางด้านของการแชร์ที่มากที่สุด ภาพ กองข้าวขนาดใหญ่ พร้อมขันบายศรี แม้ว่าประเพณีนั้นคือสิ่งที่ยึดถือ ปฏิบัติต่อกันมายาวนานในสังคมหนึ่งในระยะเวลานาน จนมากลายมาเป็นจารีต จะเห็นได้จากที่อำเภอแวงใหญ่ ที่จัดงานอย่างยิ่งใหญ่มีมหรสพตลอดงาน ขบวนแห่ที่แสดงถึงวิถีชาวบ้าน ยาวสองกิโลเมตร ซึ่งได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็น อบต. เทศบาล โรงเรียน ชุมชน หมู่บ้าน ทำให้เห็นถึงความสามัคคี และความตั้งใจของทุกคนในอำเภอ ขบวนแห่ จะเริ่มแห่ในเวลาประมาณ บ่ายสองยาวจนถึงหกโมงเย็น วันนี้ฟ้าเป็นใจ แดดไม่ค่อยจ้าอากาศจึงไม่ค่อยร้อนมากนัก จึงทำให้ผู้ที่เดินอยู่ในขบวน มีรอยยิ้มบ้าง ขบวนแห่นี้เป็นของชาวตำบลแวงใหญ่ การแต่งกายในการร่วมขบวน จะนุ่งใส่ผ้าฝ้าย หรือเสื้อม่อฮ้อม กระโปรงผ้าฝ้ายบ้าง มัดหมี่บ้าง ซึ่งในอำเภอแวงใหญ่มีของดีประจำตำบล ซึ่งไม่ว่าจะในจังหวัด กาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ด มหาสารคาม ขอนแก่น จะมีชื่อเสียงในเรื่องของผ้าไหม ในอำเภอแวงใหญ่ก็มีผ้าไหมลายประจำของที่นี่ เราจึงเห็นแฟชั่นการแต่งกายด้วยชุดผ้าไทย ขบวนนางรำ แต่ละตำบลมีการกำหนด ในเรื่องของนางรำเพื่อเข้าร่วมประกวด จะมีการรำโชว์คณะกรรมการ ในท่ารำ นางรำในแต่ลำอำเภอต้องมากกว่า 50 คนใส่ชุดรำเหมือนกัน 👀 แล้วมีความสุขทั้งคนรำและคนดู ขบวนที่แสดงถึงบุญพระเวสสันดร ซึ่งจะมีการเทศมหาชาติ นักเรียนสวมใส่ชุดหญิงใส่กระโปรงผ้าไทย และนำผ้าขาวม้าพาด มองดูแล้วเห็นศิลปะผ้าขาวม้า ที่สารพัดประโยชน์ สามารถนำมาใช้ทำในหลายอย่างล่าสุดผ้าขาวม้าสามารถทำเป็นดอกไม้ จัดจดแต่งในเก้าอี้ เพิ่มความสวยงามได้ ขบวนแห่เปรียบได้กับหนึ่งชีวิต ที่มีการใช้ชีวิตในหนึ่งปีมีทั้งหมด 12 เดือน การบูชาในแต่ละเดือน ทำให้มนุษย์นั้นได้รู้ว่า เราจะต้องทำอะไร หรือทำอย่างไร ให้ตนเองมีชีวิตรอดเดือนของการทำนา ก่อนที่จะทำจะต้องส่งสัญญาณในการขอฝนขึ้นไปบนท้องฟ้า เพื่อบันดาลให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล ตามตำนานของพญาคางคก การเรียนรู้ที่มีค่าที่สุดคือ การเรียนรู้จากการกระทำ อย่างชูชกถ้าเราเล่าให้เด็กฟัง ว่า ชูชกเป็นคนที่ดีรักภรรยามาก ไม่อยากให้ภรรยาของตนที่สวยต้องมาทำงานหนัก จึงได้เดินทางไปขอคนรับใช้จากพระพุทธเจ้า ท่านเลยประทานกัญหาและชาลี ให้ชูชกเพื่อนำมาเป็นข้ารับใช้ภรรยา เด็กๆ อาจจะถามว่าหน้าตาชูชกเป็นอย่างไร แต่เมื่อเด็กได้แสดงเองเขาจะเข้าใจได้โดยไม่ต้องอธิบาย นั่นคือการเรียนรู่ที่ดีเยี่ยม เรียนรู้จากการกระทำ การนั่งมองขบวนแห่ ที่ยาวมากกว่าสองกิโล จะเห็นชาวบ้านสองข้างทาง เต็มไปด้วยรอยยิ้ม การบริการน้ำดื่มให้กับผู้ที่ร่วมในขบวนตลอดการเดินขบวน นั่นคือน้ำใจ การกระจายรายได้ จากพ่อค้าแม่ค้า ที่มาร่วมขายสินค้าในงานมากกว่าห้าสิบร้าน ตลอดระยะเวลาสองอาทิตย์ ทำให้พื้นที่ที่เคยเงียบไม่มีคนพลุกพล่าน กลับกลายเป็น พื้นที่เศรษฐกิจ ที่มีคนเดินชมงาน จับจ่ายใช้สอยในช่วงเย็นหลังจากการทำงาน คืนนี้เป็นคืนสุดท้าย ที่มีคนจำนวนมหาศาล หลั่งไหล่เดินทางหอบเสื่อ หมอน ผ้าห่มมาจองตั้งแต่ตอนเช้า เพื่อจะดูหมอลำคณะที่ตนเองชื่นชอบ ตลอดทั้งคืนจนหกโมงเช้า พื้นที่โดยรอบระยะทางเกินกว่า สามกิโล รถจอดเรียงราย ซึ่งถ้าจะเล่าไปตำนานของการเกิดหมอลำนั้น แต่ก่อนที่จะมีคือเป็นเพลงพื้นบ้านของชาวอีสาน หลังจากที่ทำงานเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน จะมานั่งล้อมวงผิงไฟ ก็จะมีการนำวัสดุที่พอหาได้ มาเคาะเป็นเครื่องดนตรีให้จังหวะ มีการร้องเล่นแต่งเพลง เพื่อความสนุกสนาน และยังมีคำอีกคำหนึ่งเรียกว่า “ลำ” ที่มีการเขียนเหมือนคำว่า ลำชี ลำห้วย เขาบอกว่าคำที่ หมอลำนำมาร้องนั้น บางส่วนจำมาจากเรื่องเล่าที่มีการเขียนจารึกไว้ในใบลาน นำมาร้องลำเป็นเรื่อง เรื่องที่ผู้เขียนเคยฟัง น่าจะเป็นเรื่องเท้าผาแดง ซึ่งสมัยตอนเด็กบ้านใกล้วัด ก็จะไปนอนฟังลำกับคุณยายจนสว่าง สีสันความงามธรรมชาติตกแต่ง รถคันเดียวสื่อถึงวิถีชีวิต ความอุดมสมบูรณ์ของทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นผลไม้ ผักนานาชนิด เครื่องมือที่ใช้ทำมาหากิน สิ่งเหล่านี้ทำให้เราได้เห็นถึงความพยายาม ซึ่งถ้าถามว่า ฤดูเก็บเกี่ยวผ่านมานานหรือยัง นานจนข้าวขึ้นยุ้งฉางแล้ว แต่ทำไม ยังมีรวงข้าวมากมาย ให้ได้นำมา ร้อยแทนมาลัย สิ่งที่แฝงอยู่ในรถคันนี้ ทำให้เห็นถึงวัฒนธรรม ภูมิปัญญาในการเก็บรักษาที่คงอยู่ได้นาน ข้าวที่อยู่ในรวงข้าว สุขเต็มที่ย่อมหล่นร่วงลงดิน แต่สำหรับข้าวในรถคันนี้ จนแห่เสร็จ ไม่มีร่วงหล่นตามถนน ขบวนแห่ยาวกว่าสองกิโล ได้เรียนรู้แระเพณีไทย ที่สืบสานกันมาอย่างยาวนาน การเคารพในความคิดของบรรพบุรุษ รู้จักบุญคุณของสิ่งที่ทำให้เราได้เติบโตมาเป็นมนุษย์ สิ่งนี้ละคือความสุขของชีวิตคน ที่มาของบุญคูณลาน ได้มีคุณยายเล่าให้ฟังว่า มันคือกุศโลบายในการที่จะทำให้คนทำบุญ เพราะได้บอกว่า เมื่อมีการเก็บเกี่ยวข้าว ชาวนาก็จะหาบฟอนมารวมกันเป็น “ลอนข้าว” ไว้ที่นาของใครของเรา ที่กองไว้ก็จะกองให้สูงใหญ่ เพื่อที่ใครผ่านไปผ่านมา ได้มองเห็นก็จะเล่าลือว่านาของใครได้ผลดี พอได้ยินเจ้าของกองข้าวใหญ่ก็จะดีใจ มีความสุข อยากที่จะทำบุญ เพราะเมื่อทำบุญก็จะทำให้มีกุศลข้าวก็จะเพิ่มขึ้นมาในปีต่อไป เพราะ “ทำบุญได้บุญ” นอกจากข้าวที่เจริญงอกงามแล้ว พืชพรรณก็จะให้ผลดี ศิลปะในการจัดวางซึ่งเกิดจากความตั้งใจงดงามเสมอ ความรักจะก่อเกิดหลายๆ สิ่งทุกสิ่งล้วนเกิดจากความรัก ไม่ใช่เพียงแต่รักกันระหว่างชายหญิง รักในสิ่งที่ตนเองทำ ทำในสิ่งที่ตนเองรัก สิ่งที่เราได้เห็น ความยิ่งใหญ่ที่ได้ประจักษ์ สิ่งแรกคือเกิดจากความศรัทธา ความเข้มแข็งของผู้นำ ที่สามารถที่จะรวมลูกบ้านทำขบวนได้ยิ่งใหญ่ เรียกให้คนออกมารวมตัวกัน เพื่อที่จะทำให้ประสบความสำเร็จคือรางวัลที่หนึ่ง จงรักและจงเชื่อในสิ่งที่ตนเองเชื่อ แต่ไม่ใช่เชื่อแบบงมงาย ทำอะไรก็ตามขอให้ทำแต่พอดี ไม่เดือดร้อนตนเอง และเดือดร้อนผู้อื่น แค่นี้ชีวิตเราก็จะมีความสุข บุญกุ้มข้าว ที่อำเภอแวงใหญ่ จะจัดขึ้นในทุกปี อย่างยิ่งใหญ่ ที่ลานหน้าอำเภอแวงใหญ่ยาวไปจนสุดถนน ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ได้พบเจองานบุญกุ้มข้าว สนใจเที่ยวเจอกันได้ปีหน้าและปีต่อๆไปภาพถ่ายทั้งหมดเป็นของผู้เขียนเอง (อุ้งเท้าแมว) เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายบนApp TrueIDโหลดเลย ฟรี !