สตรีชาวไทลื้อตั้งแต่สมัยก่อนต้องทอผ้าเป็นเนื่องจากเสื้อผ้า หรือผ้าที่จะนำมาตัดเป็นของใช้ต่าง ๆ เช่น ผ้าห่ม ผ้าปูที่นอน เครื่องนุงห่ม หาได้ยาก ไม่มีจำหน่ายให้จับจ่ายซื้อขายเหมือนในปัจจุบัน ต้องปลูกฝ้ายเอง เก็บฝ้าย แล้วนำมาผ่านกระบวนการวิธีการทอแบบดั้งเดิม ซึ่งชาวสตรีไทลื้อได้รับการถ่ายทอดการทอดผ้ามาจากย่า ยายหรือแม่ของตนเอง ดังนั้นลายผ้า จะถ่ายทอดออกมาเฉพาะครอบครัวของตนเอง อาจจะเป็นลายช้างเหมือนกัน แต่จะเป็นช้างคนละแบบ เป็นต้น ถุงปื๋อ เป็นคำเรียกเฉพาะของชาวไทลื้อ ซึ่งคนส่วนใหญ่เรียกย่าม ถุงปื๋อเป็นของใช้ที่สำคัญของชาวไทลื้อ ในสมัยก่อนนั้นต้องมีทุกครัวเรือนและสมาชิกในครัวเรือนทุกคนต้องมี เพราะชาวไทลื้อส่วนใหญ่ทำการเกษตร ปลูกข้าวไร่ ข้าวโพด พริก ซึ่งตั้งแต่กระบวนการเพาะปลูกต้องออกไปทำงานที่ไร่ ซึ่งอยู่ห่างไกลบ้านของตนเองและการเดินทางต้องเดินเท้าไป ต้องห่อข้าวห่อน้ำไปกินที่ไร่และต้องมีสัมภาระอื่น ๆ อีก ถุงปื๋อนี้จะมีขนาดย่อม ๆ เพื่อจะได้ใส่ของได้ทั้งหมด ตลอดจนถึงฤดูการเก็บเกี่ยวต้องใช้ถุงปื๋อที่มีขนาดใหญ่ เพราะต้องเก็บผลิตใส่แล้วนำกลับมาบ้าน และต้องเก็บไปเยอะ ๆ ให้คุ้มค่ากับการเดินทางไปเก็บเกี่ยว ถุงปื๋อในสมัยก่อนจะมีขนาดใหญ่ทอด้วยฝ้าย 2 สี คือ สีขาว ซึ่งเป็นสีจากฝ้ายธรรมชาติ และสีดำที่ย้อมมากจากผลมะเกลือ หรือครั่ง แล้วนำมาเข็นฝ้ายสลับกันดำขาว แล้วนำมาทอ ตัดเย็บจนได้ถุงปื๋อนำมาใช้สอยในครัวเรือน ในปัจจุบันถุงปื๋อที่ใช้จะมีลวดลายและสีสันที่สวยงาม เพราะเน้นการใช้สอยในด้านการออกงานสังคมมากกว่า เช่น ในงานบุญสมโภชฉลองวัดที่สร้างใหม่ งานอนุรักษ์วัฒนธรรมไทลื้อ หรืองานเทศกาลต่าง ๆ เพื่อเป็นการอวด การโชว์ฝีมือการทอผ้าของตนเอง ทำให้สตรีไทลื้อที่ยังทอผ้าจะคิดลายใหม่ ๆ ขึ้นมาเพื่อเอาใจลูกค้าที่จะเลือกซื้อหาไปใช้ให้เหมาะสมกับงานต่าง ๆ ที่จัดขึ้นด้วย ลายที่นิยมคือลายช้าง ซึ่งมีความหมายถึงการมีอายุยืนยาว มีความแข็งแรง และโชคลาภ ศูนย์การเรียนรู้ผ้าทอแม่จินดา กานิล ได้สร้างสรรค์การทอผ้าแล้วนำมาตัดเป็นถุงปื๋อโดยได้รับการถ่ายทอดการทอผ้ามาจากแม่กุหลาบ รัตนศรีลา ผู้เป็นพี่สาว และแม่กุหลาบ รัตนศรีลาได้รับการถ่ายทอดมาจากแม่หลวงเกี๋ยง อรินทร์ ผู้เป็นแม่ ซึ่งลายที่ถุงปื๋อเป็นลายเฉพาะและเป็นเอกลักษณ์ที่ถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น โดยมีแม่จินดา กานิลที่จะถ่ายทอดไปสู่รุ่นลูก และรุ่นหลาน ภาพหน้าปก และภาพประกอบ Photo by บ่าวไตยลื้อเมิงโป