การถ่ายภาพคือศิลปะอย่างหนึ่ง แต่เป็นศิลปะที่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีนั่นก็คือกล้องถ่ายภาพ และการถ่ายภาพนั้นมีหลายแนวซึ่งแต่ละแนวจะต้องมีการฝึกฝนกันอย่างเป็นจริงเป็นจังให้เกิดความชำนาญ เพื่อให้ได้ภาพถ่ายออกมาที่มีคุณภาพ และสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริงก่อให้เกิดรายได้หรือ ชื่อเสียง ซึ่งเป็นผลประโยชน์อันพึงมีพึงได้ของช่างภาพหรือผู้ถ่ายภาพ การถ่ายภาพในสมัยปัจจุบันนั้นไม่ยุ่งยากเหมือนการถ่ายภาพในสมัยอดีต โดยเฉพาะในเรื่องการถ่ายภาพเคลื่อนไหว ยิ่งสมัยนี้เป็นยุคของกล้องดิจิตอลที่เทคโนโลยีพัฒนาไปไกลมากกว่ายุคดิจิตอลรุ่นแรกด้วยแล้ว การถ่ายภาพเคลื่อนไหวนั้นไม่ใช่สิ่งที่ยากเย็นและสามารถออกแบบภาพเคลื่อนไหวนั้นไม่ตรงกับที่ใจเราต้องการได้เลยทีเดียว ในบทความนี้จะกล่าวถึงในเรื่องของการถ่ายภาพที่วัตถุเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ในกรณีที่ว่าจะถ่ายภาพวัตถุที่เคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลานั้นได้อย่างไรให้ดูเหมือนกับว่าวัตถุนั้นหยุดการเคลื่อนที่ แน่นอนว่าสำหรับผู้ที่มีประสบการณ์ ในการถ่ายภาพมาแล้วย่อมเป็นเรื่องที่ง่ายสำหรับการถ่ายภาพประเภทนี้ แต่ถ้าเป็นช่างภาพมือใหม่หรือผู้ที่ถ่ายภาพในระยะเริ่มแรกนั้น เมื่อเห็นภาพผลงานของช่างภาพคนอื่น ๆ ที่มีความเชียวชาญแล้วจะรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก เพราะวัตถุมีความเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา จึงทำให้คิดว่าจะจัดองค์ประกอบของภาพนี้อย่างไรแล้วจะทำอย่างไรให้ได้ภาพมีความคมชัด ราวกับว่าวัตถุนั้นหยุดนิ่งไม่เคลื่อนไหว มาศึกษาเรียนรู้กันครับ การถ่ายภาพในลักษณะนี้มีจุดสำคัญคือความเร็วชัตเตอร์ หรือที่เราเรียกทับศัพท์ภาษาอังกฤษว่าสปีดชัตเตอร์ ความเร็วชัตเตอร์นี่จะเป็นตัวหยุดวัตถุที่เคลื่อนไหวให้หยุดนิ่งอยู่กับที่ กล่าวคือพระผู้ถ่ายภาพปรับความเร็วของชัตเตอร์ให้สัมพันธ์กับวัตถุที่กำลังเคลื่อนที่ ก็สามารถที่จะทำให้ภาพนั้นหยุดนิ่งและเกิดความคมชัดได้ ในกรณีเดียวกันถ้าหากใช้ความเร็วชัตเตอร์ไม่เหมาะสมกับวัตถุที่กำลังเคลื่อนที่ ภาพที่ถ่ายออกมานั้นก็จะดูไม่คมชัดหรือที่เราเรียกกันภาษาโดยทั่วไปว่าภาพเบลอนั่นเอง โดยทั่วไปแล้วการตั้งความเร็วของชัตเตอร์นั้นจะต้องตั้งค่าให้มากกว่า ความไวแสงเกินกว่า 100 เพื่อลดการเกิดน้อยหรือจุดเล็ก ๆ ภายในภาพ ซึ่งเป็นทฤษฎีพื้นฐานโดยทั่วไปของการถ่ายภาพ แต่ถ้าวัตถุนั้นมีการเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว เราอาจต้องปรับความเร็วของชัตเตอร์ให้สูงขึ้น อย่างเช่น การถ่ายภาพเครื่องบิน หรือการถ่ายภาพนกที่กำลังกางปีกบินอยู่ในอากาศ ที่กล่าวมานี้เป็นวัตถุที่มีการเคลื่อนที่ด้วยความเร็วที่สูง การใช้ความเร็วชัตเตอร์แค่ 100 ภาพถ่ายที่ที่ออกมานั้นอาจจะทำให้ภาพเบลอหรือไม่คมชัด แต่ถ้าเราปรับสปีดชัตเตอร์ให้สูงขึ้น ประมาณ 1,000 หรือ 2,000 ภาพที่ได้มา อาจมีความคมชัดและสามารถนำไปใช้ได้ ในขณะเดียวกันความเร็วชัตเตอร์ที่ต่ำในกรณีการถ่ายภาพวัตถุที่เคลื่อนที่ได้ช้าอย่างเช่น การถ่ายภาพตัวหนอน การถ่ายภาพดอกไม้ที่กำลังไหวด้วยแรงลมอ่อน เรา ปรับค่าความเร็วชัตเตอร์ ประมาณ 200 ถึง 500 ก็สามารถหยุดภาพเคลื่อนไหวเล็กๆ น้อยๆ ในลักษณะนี้ได้แล้ว ในเรื่องของการปรับความเร็วชัตเตอร์ให้สัมพันธ์กับวัตถุที่เคลื่อนไหวนั้น สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนอยากจะเน้นก็คือข้อดีข้อเสียของการปรับค่าความเร็วชัตเตอร์ก็คือ ค่าความเร็วชัตเตอร์ที่มากขึ้น มีข้อดีคือสามารถหยุดภาพเคลื่อนไหวให้หยุดนิ่งได้และคมชัดแต่ผลเสียที่ตามมาคือความมืดของภาพจะมืดมากยิ่งขึ้น ในอีกกรณีหนึ่งเมื่อการปรับค่าความเร็วชัตเตอร์ให้น้อยลงข้อดีของภาพที่ออกมาคือจะมีความสว่างมากขึ้น แต่ข้อเสียของภาพที่ออกมานั้นจะไม่คมชัดในกรณีที่ถ่ายวัตถุที่มีความเร็วสูง ทั้งนี้และทั้งนั้นการปรับความเร็วชัตเตอร์ก็ควรจะเฉลี่ยให้สมดุลกลับ ค่าความไวแสง และค่าของรูรับแสง เมื่อเฉลี่ยการตั้งค่ากล้องที่กล่าวมานี้ให้สมดุลแล้ว ภาพที่ออกมาจะไม่สว่างมากจนเกินไปหรือจะไม่มืดมากจนเกินไป เป็นภาพที่มีคุณภาพและสามารถนำไปใช้งานได้ ภาพถ่ายโดย พงศธร อิ่มอุดม ผู้เขียนบทความ