ทฤษฎีน้ำหนึ่งหยด(one drop theory) คือทฤษฎีที่ตั้งสมมติฐานว่า ความตายของสิ่งมีชีวิตส่งผลกระทบต่อทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ โดยเปรียบเทียบมนุษย์คือน้ำหนึ่งหยดและโลกคือภาชนะปิดที่มีน้ำกักขังอยู่ข้างใน โดยทุกครั้งที่มีการตายเกิดขึ้นจะเสมือนน้ำหนึ่งหยดที่หล่นลงบนพื้นผิวน้ำ สร้างแรงกระทบส่งคลื่นไปมา จุดประสงค์ของทฤษฎีน้ำหนึ่งหยด คือ การหาความสัมพันธ์ระหว่างความตายกับสิ่งมีชีวิต โดยผลกระทบดังกล่าวสามารถรับรู้ได้จากประสาททั้ง 5 ซึ่งคือ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส นอกจากนี้ยังมีผลต่อสิ่งมีชีวิตที่มองไม่เห็น เช่น จุลินทรีย์ แบคทีเรีย ไวรัส เป็นต้น ความตายถือเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับสิ่งมีชีวิตทุกประเภท แม้บางสายพันธุ์จะมีอายุขัยยาวนาน หรือมีความสามารถในการปรับตัวต่อสภาพแวดล้อมได้ดีกว่า กระนั้นวงจรชีวิตของทุกสรรพสิ่งก็บรรจบลงที่ความตาย ด้วยความที่มนุษย์มีความตระหนักรับรู้ในเรื่องต่าง ๆ เป็นอย่างดี อารมณ์ซึ่งถือเป็นตัวแปรหลักจึงส่งผลกระทบอย่างเลี่ยงไม่ได้ โดยทฤษฎีน้ำหนึ่งหยดนั้นหากมนุษย์เราเป็นที่รู้จักของคนส่วนใหญ่ย่อมหมายถึงความสูงของระดับน้ำที่จะตกลงมา และความสนิทสนมหรือการมีปฏิสัมพันธ์กับสังคมรอบข้างก็เปรียบได้กับขนาดของหยดน้ำ ซึ่งผลลัพธ์ของความตายนั้นจะสร้างคลื่นมหาศาลที่สั่นไหวไปหาทุกสิ่งมีชีวิต ยิ่งระยะทางที่ตกอยู่ใกล้ย่อมหมายถึงเป็นคนใกล้ตัว หากเป็นระยะทางที่ไกลย่อมหมายถึงคนที่ไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์กันเลย กระนั้นผลของคลื่นที่เกิดจากน้ำหนึ่งหยดก็ยังมีผลให้เห็นอยู่ ซึ่งหากมีการตายจำนวนมากจะเท่ากับน้ำที่หยดลงอย่างไม่ขาดสายสร้างการรับรู้และมีผลต่อคนหมู่มากเช่นเดียวกัน ทั้งนี้การที่เราสามารถมองเห็นคลื่นนั้นย่อมเทียบได้กับการรับรู้จากประสาทสัมผัสต่าง ๆ และในส่วนของใต้น้ำจะหมายถึงสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กมาก ๆ ที่ความตายส่งผลกระทบ ยิ่งระดับน้ำลึกเท่าไหร่สิ่งมีชีวิตก็เล็กเท่านั้น และหากโลกคือภาชนะปิดที่มีน้ำล้อมรอบ ภายนอกภาชนะนั้นก็คือมิติต่าง ๆ รวมถึงสิ่งที่มนุษย์เรายังไม่มีคำอธิบาย ท้ายที่สุดแม้ทฤษฎีน้ำหนึ่งหยดจะยังไม่เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางนัก แต่ความตายที่ทฤษฎีนี้เน้นให้เห็นก็มีความสำคัญต่อชีวิตคนเราอย่างหนีไม่พ้น ขอบคุณภาพสวย ๆ จาก pexels.com ภาพปกและภาพประกอบรูปที่ 1,รุปที่2,รูปที่ 3