ทะเลรุกคืบ...วิกฤตินาข้าวที่ต้องปรับตัว ต.คลองประสงค์ จ.กระบี่“คลองประสงค์” ชื่อตำบลหนึ่งของอำเภอเมืองกระบี่ การปกครองประกอบด้วย 4 หมู่บ้าน คือ หมู่ 1 บ้านเกาะกลาง หมู่ 2 บ้านคลองประสงค์ หมู่ 3 บ้านคลองกำ และหมู่ 4 บ้านบางขนุน โดย 3 หมู่บ้านแรกนั้น ตั้งอยู่บนพื้นที่ที่มีลักษณะเป็นเกาะแยกออกจากแผ่นดินใหญ่บริเวณปากแม่น้ำกระบี่ (แถว ๆ เขาขนาบน้ำ แลนด์มาร์คอันเลื่องชื่อของจังหวัดกระบี่…ผู้อ่านคงร้องอ๋อกันแล้วสิ!!!) ซึ่งหากดูจากแผนที่แล้วจะมีลักษณะเหมือนเป็นแค่คลองกั้นเท่านั้น การเดินทางไปคลองประสงค์ก็ไม่ยากเย็น แค่ไปขึ้นเรือที่ท่าเรือเจ้าฟ้า มีเรือหางยาวให้บริการอยู่ตลอดเวลา ใช้เวลาไม่นานนักก็สามารถเดินทางถึงท่าเรือคลองประสงค์ได้ไม่ยากเย็นเมื่อสมัยที่ผู้เขียนเริ่มเข้าไปทำงานใหม่ ๆ ช่วงราวปี พ.ศ.2552-2553 สมัยนั้น ชื่อของ คลองประสงค์ ยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จักเท่าใดนัก โดยหมู่บ้านที่ผู้เขียนเข้าไปทำงานก็คือ หมู่ 1 บ้านเกาะกลาง และเมื่อพูดถึงเกาะกลาง คนกระบี่จะนึกถึงเกาะกลางที่อยู่ในเขตอำเภอเกาะลันตาของจังหวัดกระบี่ ก็สร้างความงุนงงให้กับผู้เขียนไม่น้อยในช่วงแรกความสำคัญของบ้านเกาะกลาง ที่ผู้เขียนจำเพาะเจาะจงจะต้องเข้าไปทำงานนั้น เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวเป็นแหล่งเพาะปลูกข้าวพันธุ์พื้นเมืองที่สำคัญ ได้แก่ ข้าวสังข์หยด พันธุ์ข้าวที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น ข้าวสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (Geographic Indication) สุดยอดข้าวของภาคใต้ สำหรับชื่อเสียงและสรรพคุณของข้าวสังข์หยดนี้ ผู้เขียนคงไม่ต้องสาธยายมาก คิดว่าท่านผู้อ่านคงพอได้รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับข้าวชนิดนี้มาบ้างแล้ว (จริง ๆ คือ ไม่อยากเอามะพร้าวมาขายต่างหากล่ะ) วัตถุประสงค์ของการเข้าไปทำงานในครั้งนั้น ก็ด้วยภารกิจของผู้เขียนในประเด็นผลกระทบจากเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือที่คนทั่วไปเข้าใจว่า "ภาวะโลกร้อน" นั้นแหล่ะ มันส่งผลกระทบต่อการทำนาในพื้นที่ตำบลคลองประสงค์อย่างไร ผู้เขียนจะค่อย ๆ เล่าให้ฟังว่า เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นที่นั่น สาเหตุสำคัญที่ทำให้การทำนาในพื้นที่บ้านเกาะกลาง ตำบลคลองประสงค์เกิดปัญหามีที่มาอย่างไร ความสามารถในการรับมือหรือบรรเทาปัญหาที่เกิดขึ้นนั้น ชุมชนมีวิธีการอย่างไรบ้าง ก่อนอื่นใด ก็มาหาความรู้เล็ก ๆ น้อย ๆ เกี่ยวกับการทำนาที่บ้านเกาะกลางกันก่อน จากการพูดคุยสนทนากับผู้นำชุมชน นายประวัติ คลองรั้ว ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 1 และเป็นหมอดินอาสา หรือที่คนในพื้นที่รู้จักและเรียกกันว่า ครูเตบ (ผู้อ่านกรุณาออกเสียงเป็นสำเนียงใต้ด้วยนะ ^ ^ ) สำหรับตัวผู้เขียนก็เงี่ยหูฟังอยู่นานว่า ออกเสียงอย่างไรกันแน่ เลยมาลงที่คำว่า ครูเทพ แล้วกัน ครูเทพเล่าว่าการทำนาในตำบลคลองประสงค์มีมาตั้งแต่ 100 กว่าปีโน้น พื้นที่แห่งนี้เป็นพื้นที่ปลูกข้าวสำคัญของจังหวัดกระบี่ เคยมีพื้นที่นากว่า 600 ไร่ แต่ต้องประสบกับปัญหาน้ำเค็มรุกเข้ามา ทำให้พื้นที่บางส่วนไม่สามารถปลูกข้าวได้ สภาพดินกว่าที่จะสามารถปรับปรุงให้กลับมาปลูกพืชได้อีกต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อยถึง 3 ปี อาชีพทำนาจึงค่อย ๆ ลดลงไป และหันไปประกอบอาชีพอื่นแทน ต่อมาเมื่อปี พ.ศ.2545 ชาวบ้านที่ยังคงอาชีพทำนาอยู่ได้รวมตัวกันจัดตั้งกลุ่มเพื่อปลูกข้าวพันธุ์พื้นที่เมือง ได้แก่ ข้าวสังข์หยด เล็บนก และปลูกแบบอินทรีย์เพื่อยกระดับและสร้างมูลค่าของข้าวให้เป็นข้าวคุณภาพสูง ปลูกปีละครั้ง (นาปี) โดยจะเริ่มปลูกตั้งแต่เดือนสิงหาคม และเก็บเกี่ยวในช่วงเดือนธันวาคม หรือถ้าจะให้จำง่าย ๆ ก็คือ ปลูกวันแม่ เก็บเกี่ยววันพ่อ ใช้ระยะเวลาก็ราว ๆ 5-6 เดือน และเท่าที่ผู้เขียนสังเกตเห็น วิถีการทำนาของชุมชนบ้านเกาะกลางยังคงเป็นแบบวิถีเดิม ๆ ใช้แรงงานคน แรงงานสัตว์ ซึ่งเห็นได้จากยังมีควายกินหญ้าอยู่กลางทุ่งนา ผูกอยู่ตามใต้ถุนบ้านให้เห็นครูเทพ ยังเล่าต่อว่า ปัจจุบันการทำนาในพื้นที่ก็ยังประสบปัญหาน้ำเค็มรุกอยู่ทุกปีจากน้ำทะเลที่หนุนสูงในช่วงลมมรสุมกำลังแรงซึ่งมักเกิดขึ้นในช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม และตุลาคม-พฤศจิกายน (ช่วงลอยกระทง) และที่จำได้ไม่เคยลืม เมื่อเดือนพฤษภาคม ปี พ.ศ.2545 (ก็หลังจากที่ชาวนารวมกลุ่มกันนั่นแหล่ะ) ก็เกิดเหตุการณ์น้ำทะเลหนุนขนาดใหญ่อย่างที่ไม่เคยเจอมาก่อนทำให้น้ำทะเลหรือน้ำเค็มรุกเข้าท่วมพื้นที่หมู่ 1 และหมู่ 2 เกือบทั้งหมด ส่วนพื้นที่หมู่ 3 ซึ่งอยู่ติดริมชายฝั่ง ชายหาดก็ถูกกัดเซาะอย่างรุนแรง ผลจากเหตุการณ์ดังกล่าว ความเค็มที่ยังตกค้างอยู่ในพื้นที่นาส่งผลกระทบต่อผลผลิตข้าวในฤดูกาลนั้นทันที จากเหตุการณ์ครั้งนั้น ครูเทพจึงได้พยายามคิดค้นหาวิธีป้องกันการรุกของน้ำเค็ม โดยทดลองสร้างคันดินกั้นน้ำเค็มในพื้นที่นาของตนเอง และพบว่าได้ผลดีสามารถป้องกันพื้นที่นาข้าวไว้ได้ จึงได้เสนอโครงการสร้างคันดินกั้นน้ำเค็มสำหรับพื้นที่นาข้าวในหมู่ 1 (บ้านเกาะกลาง) รวมระยะทาง 6.7 กม คันดินสูงประมาณ 2 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลางต่อกรมพัฒนาที่ดิน ซึ่งหมู่บ้านก็ได้รับงบประมาณดังกล่าวมาในช่วงที่ผู้เขียนได้เข้าไปทำงานพอดี (ปีงบ 2552-2553) ทำให้ผู้เขียนได้มีโอกาสเห็นสภาพของคันดิน สภาพของพื้นที่นาที่ถูกน้ำเค็มเข้าท่วมและคันดินที่กำลังดำเนินการก่อสร้างอยู่ในขณะนั้น ซึ่งหากคันดินดังกล่าวเสร็จสมบูรณ์ ชุมชนคาดหวังว่าคันดินจะสามารถป้องกันพื้นที่นาได้ราว 1,200 ไร่ ซึ่งเป็นพื้นที่นาปัจจุบัน 390 ไร่ และพื้นที่ที่เคยเป็นที่นาประมาณ 227 ไร่ นอกนั้นเป็นพื้นที่อยู่อาศัยและชุมชนราว ๆ 250 ไร่ และพื้นที่เกษตรกรรม ได้แก่ บ่อเลี้ยงสัตว์น้ำ สวนยาง อีกราว ๆ 336 ไร่ (ข้อมูลจากคำนวณโดยใช้เครื่องมือสารสนเทศทางภูมิศาสตร์ โดยทีมผู้วิจัย)ส่วนหนึ่งที่เป็นสาเหตุของปัญหาดังกล่าวข้างต้น ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา ส่งผลต่อการเพิ่มของระดับน้ำทะเลในภูมิภาคจนถึงระดับท้องถิ่น ประกอบกับความแปรปรวนของระบบลมมรสุมท้องถิ่น มีผลทำให้การรุกล้ำหรือการหนุนของน้ำทะเลในบางช่วงเวลาสร้างผลกระทบต่อพื้นที่บริเวณชายฝั่งในบางพื้นที่มากขึ้น ในอนาคตแนวโน้มของผลกระทบดังกล่าวก็มีท่าทีว่าจะมีความรุนแรงขึ้น ตราบที่เรายังไม่สามารถหยุดยั้งภาวะโลกร้อนได้ จริง ๆ ผู้เขียนก็คิดว่า ก็คงจะเป็นเรื่องยากที่เราจะหยุดยั้งเหตุการณ์ดังกล่าวได้ แต่ถ้าเราหันมาปรับตัวและยอมรับการอยู่ร่วมกับเหตุการณ์ดังกล่าวได้ อาจจะเป็นวิธีการที่ง่ายกว่า กรณีคลองประสงค์นี้ ทางทีมผู้เขียนได้ช่วยแนะนำชุมชนว่า สำหรับพื้นที่นาข้าวที่ไม่สามารถฟื้นฟูให้กลับมาทำนาได้ดังเดิม รวมไปถึงพื้นที่ที่อยู่นอกเขตเขื่อนหรือพื้นที่คันนา ชุมชนอาจทำการปรับเปลี่ยนพื้นที่ไปเลี้ยงสัตว์ทะเล เช่น ปูทะเล กุ้งทะเล หรือปลา แทนความพยายามที่จะทำให้พื้นที่กลับมาปลูกข้าวได้เหมือนเดิมการเรียนรู้นอกห้องเรียนครั้งนี้ของผู้เขียน บอกกับผู้เขียนว่า จริง ๆ แล้ว ชุมชนต่างรู้อยู่แล้วว่า อะไรคือสาเหตุของปัญหา และรู้ด้วยว่าจะแก้ไขหรือบรรเทาผลกระทบของปัญหาดังกล่าวได้อย่างไร ดังที่ครูเทพกำลังดำเนินการอยู่ แต่อาจจะยังไม่เพียงพอ ซึ่งยังต้องได้รับการสนับสนุนหรือความช่วยเหลือจากหน่วยงานภายนอกบ้างทั้งในแง่ของงบประมาณ หรือองค์วามรู้เพิ่มเติม เล่ามาจนถึงตรงนี้ นอกจากประสบการณ์ที่ผู้เขียนได้รับและนำมาเล่าสู่กันฟังแล้วนั้น การทำงานครั้งนั้นค่อนข้างโหดร้ายต่อสุขภาพผิวพรรณของผู้เขียนยิ่งนัก ทั้งแดดที่ร้อนเวลาตอนเที่ยง ย้ำว่าเวลาเที่ยง!!! กับบรรยากาศแบบซัมเมอร์ภาคใต้ ฟ้ากระจ่างไร้เมฆหมอกใด ๆ ทั้งสิ้น จนถึงช่วงบ่ายแก่ ๆ เมื่อยามต้องสำรวจพื้นที่จริง รวมไปถึงการเก็บข้อมูลพิกัดของพื้นที่นาข้าว ผู้เขียนคงไม่ต้องบรรยายว่า สภาพตอนนั้นของผู้เขียนจะเป็นอย่างไร ชายอกสามศอกยังต้องเกือบจะยอมแพ้ แต่ด้วยภารกิจที่ค้ำคอหอยอยู่ ณ ขณะนั้นก็ต้องไม่ให้เสียชื่อคนกรุง เจอแดดแค่นี้ก็ถึงกับหมดแรง....จริง ๆ ยังมีเรื่องเล่าเชิงลึกเกี่ยวกับพื้นที่อีกเยอะทีเดียว แต่ผู้เขียนกลัวว่าจะเป็นสาระที่หนักเกินไป จากความบันเทิงเชิงปนความรู้หน่อย ๆ จะกลายเป็นเรื่องชวนเวียนหัวไปเสียก่อนเปล่า เอาเป็นว่า ผู้เขียนขอจบเรื่องราวประสบการณ์เกี่ยวกับคลองประสงค์ไว้แค่นี้ หวังว่าผู้อ่านจะได้สาระและความรู้ดี ๆ จากบทความนี้ไม่มากก็น้อยภาพปกและภาพประกอบทั้งหมด: โดยผู้เขียนที่มาของข้อมูลและประสบการณ์สำหรับการเล่าเรื่องครั้งนี้ : SEA START RC, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โครงการศึกษาผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศในอนาคตและการปรับตัวของภาคส่วนที่สำคัญ สนับสนุนโดยสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม