ถ้าคุณเดินทางไปถึงอำเภอศีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์ ห้ามพลาดการไปชมปราสาทหินแห่งสำคัญแห่งหนึ่งแห่งอีสานใต้นั่นคือปราสาทศีขรภูมิ หรือปราสาทบ้านระแงงอันเป็นชื่อที่ชาวบ้านเรียกขานกัน คนโบราณมักสร้างอะไรที่ทำให้เราทึ่งอยู่เสมอ บางทีเราก็สงสัยใช่ไหมว่า เขาสร้างได้อย่างไร คำตอบก็คงเป็นเพราะคนโบราณเขาก็มี “ภูมิปัญญา” ของเขาที่จะใช้สร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ ซึ่งคงแตกต่างไปจากปัจจุบันอยู่มาก และด้วยความมุ่งมั่นศรัทธาในความเชื่อ จึงเป็นแรงบันดาลใจให้คนโบราณสร้างสิ่งอัศจรรย์ แม้เพียงปราสาทหินขนาดย่อมอย่างปราสาทศีขรภูมิก็ทำให้เราทึ่งได้ ปราสาทหินในประเทศไทย ไม่ว่าจะสร้างด้วยอิฐหรือศิลาแลงหรือหินทราย เราก็มักเรียกรวมๆ ว่าปราสาทหิน ที่ศีขรภูมินั้นมีปราสาท 5 หลังสร้างด้วยอิฐบนฐานเดียวกัน เมื่อสังเกตโครงสร้าง จะพบส่วนที่เหมือนช่องว่างสามเหลี่ยมเหนือกรอบประตู นั่นคือโครงสร้างที่ช่วยกระจายน้ำหนักของผนังไม่ให้กดทับลงมาจนกรอบประตูรับไม่ไหว จึงทำให้โครงสร้างส่วนใหญ่ยังคงแข็งแรงแม้ผ่านกาลเวลามาถึงเก้าร้อยปี อิฐโบราณก้อนโตขัดผิวเรียบ ประสานกันด้วยยางไม้แล้วนำมาวางต่อกันจึงแนบสนิทแข็งแรง ส่วนที่มีภาพสลักนั้นเป็นหินทราย สร้างขึ้นเนื่องในความเชื่อในศาสนาพราหมณ์ฮินดูลัทธิไศวนิกายที่นับถือพระศิวะตามแบบศิลปะนครวัดในกัมพูชา อะไรเป็นสิ่งบอกว่าที่นี่นับถือพระศิวะ ก็เพราะทับหลังขนาดใหญ่เหนือกรอบประตูของปราสาทประธาน ที่แกะสลักเป็นภาพศิวนาฏราช หรือพระศิวะกำลังร่ายรำประทับยืนเหนือหงส์ ประกอบด้วยองค์เทพอื่น ๆ ในฐานะบริวาร ได้แก่พระพรหม พระนารายณ์ พระอุมา พระคเณศ เทพบางองค์กำลังเล่นดนตรีประกอบให้พระศิวะร่ายรำ ด้านซ้ายและขวามีเรื่องราวจากเทพปกรณัม ประกอบลวดลายพรรณพฤกษาเต็มทั้งแผ่น พระศิวะร่ายรำนี้เป็นคติพราหมณ์ฮินดูที่ว่า เมื่อพระศิวะเริ่มร่ายรำ ก็จะเป็นต้นกำเนิดของจักรวาลทั้งปวง และเพื่อให้โลกดำเนินไปตามจังหวะอย่างเหมาะสม และ ส่วนตำนานอื่นมีว่า เป็นปางปราบยมลกะยักษ์ที่พวกดาบสส่งมาลองฤทธิ์พระองค์ นอกจากทับหลังที่ขึ้นชื่อว่างดงามละเอียดประณีต ให้ลองสังเกตอสูรสองตนที่ยืนพิทักษ์กรอบประตูของปราสาทประธาน ที่หน้าดุคือมหากาล ส่วนอีกองค์คงเป็นนันทิเกศวร และเทพธิดาที่สลักไว้ตรงกรอบประตู ถือกันว่างดงามมากแห่งหนึ่งในบรรดาที่มีสลักไว้ในปราสาทหินในประเทศไทย บ้านเมืองดีเมื่อไร เชิญชวนให้คุณๆ แวะไปชมความงามที่สร้างขึ้นด้วยศรัทธาอันน่าทึ่งแห่งนี้ . (เรื่องและรูปทุกรูปโดย วารุ วิชญรัฐ)