อื่นๆ

ทัศนศึกษานรก

171
คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ
ทัศนศึกษานรก

ผู้เขียนก็เป็นคนหนึ่งที่ฝึกฝนด้านวิชาจิตศาสตร์ ครั้งหนึ่งนึกอยากรู้ว่าที่ดินแดนนรกภูมินั้นเป็นเช่นไร จึงกำหนดจิตอธิฐานขอลงไปศึกษาที่ดินแดนนรกภูมิ เมื่ออธิฐานจบก็เห็นร่างกายทิพย์ตัวเองนั้นไปอยู่ที่หน้าประตูนรก มีเจ้าหน้าที่ ที่เฝ้าประตูนรกอยู่สอบถามผู้เขียนว่าท่านยังไม่ถึงเวลาตายแล้วท่านลงมาดินแดนแห่งนี้เพื่ออะไร เราบอกไปว่าอยากจะขอมาเพื่อการศึกษา แล้วจะได้นำไปบอกกล่าวให้ผู้อื่นได้ทราบว่า นรก สวรรค์ นั้นมีจริง ท่านเจ้าหน้าที่หายเงียบไปสักพักแล้วกลับมาบอกกับเราว่า เช่นนั้น ก็เชิญท่านศึกษาได้ แต่ต้องอยู่ในการควบคุมดูแล และเห็นได้ตามวาสนาเท่านั้น ผู้เขียนจึงขอเดินตามดวงจิตอื่นๆ ไปเพื่อศึกษาดูโดยมีท่านเจ้าหน้าที่คอยให้คำแนะนำและตอบคำถาม

นรก

เมื่อเดินผ่านประตูใหญ่เข้ามา จะเห็นดวงจิตกำลังเดินต่อคิวกันไปเพื่อจะเข้าไปสู่การพิพากษา ท่านเจ้าหน้าที่อธิบายกับเราว่า เมื่อดวงจิตผู้ตายมาถึงจุดนี้ จะพบกับประตู 3 บาน ประตูบานแรกจะเป็นประตูที่ขึ้นไปสู่แดนสวรรค์ได้เลยโดยไม่ต้องมาผ่านการพิพากษาเพราะบุญกุศลเพียงพอแล้วอยู่ทางด้านขวามือของเรา ส่วนประตูตรงกลางจะเป็นประตูที่ผู้ผ่านเข้ามาแล้วจะต้องเข้าคิวเดินไปยังแดนมิกกสัญญี เพื่อรอการพิพากษา  ส่วนประตูซ้ายมือของเรานั้น เมื่อผู้ใดผ่านเข้าไป จะถูกนำตัวไปลงโทษในทันทีโดยไม่จำเป็นต้องพิจารณา ผู้ที่จะเข้าไปในประตูนี้จะเป็นผู้ที่ทำผิดใหญ่หลวง เช่น การมาตุฆาต ปิตุฆาต หรือทำร้ายพระพุทธองค์  ผู้เขียนเลือกที่จะขอเข้าประตูกลางตอนนี้เราอยู่กันในดินแดนมิกกสัญญี เป็นดินแดนที่กว้างมาก แต่อารมณ์ของสถานที่นี้มันช่างหดหู่ และมืดมิด ดวงจิตผู้คนเดินก้มหน้าก้มตาเดินต่อแถวกันไปเรื่อยๆ ไม่พูดไม่จากัน นานๆ ทีจะมีเสียงเหมือนฟ้าผ่า ทำให้มีแสงสว่างวาบมาพอให้มองเห็นหน้ากันบ้าง  ท่านเจ้าหน้าที่เตือนว่าถ้ามีใครที่พยายามยามหนีออกจากแถว หรือมีกรรมหนัก จะมีหมาใน และอีกาปากเหล็กแหลม คอยดึงไปกิน

Advertisement

Advertisement

นรก

เดินเข้ามาถึงข้างในเห็นเป็นห้องโถงขนาดใหญ่มาก บรรยากาศร้อน อบอ้าว แบบอึดอัด มีดวงจิตที่รอการพิพากษานั่งพนมมือตัวสั่นเทาอยู่ มี เจ้าหน้าที่ท่าทางน่ากลัวยืนคุมอยู่  มองไปสุดสายตาข้างหน้าพบแท่นบัลลังก์ขนาดใหญ่มหาศาลมีท่านมัจจุราชนั่งอยู่ ที่มือถือคฑารูปหัวกระโหลก  รับรู้ได้ถึงพลังได้ว่ามหาศาล ร่างท่านใหญ่ น่าเกรงขามมาก  ด้านซ้ายมือท่านมีเจ้าหน้าที่ถือสมุดที่ถักทอด้วยเส้นทองคำ ตัวเนื้อกระดาษเป็นสีขาวสะอาด มีตัวอักษรสีทอง เป็นตัวหนังสือโบราณ ท่านอธิบายว่านี้เป็นบัญชีของผู้ทำความดี ในบัญชีจะมีนายชื่อผู้นั่นปรากฎพร้อมด้วยความดีต่างๆ เมื่อคนเราสิ้นอายุขัย ตัวอักษรจะเริ่มชัดขึ้นมา มันจะชัดขึ้นมาพร้อมกับความดีที่เราทำไว้ ในนั้นจะบอกไว้หมดว่า คนนั้นเป็นใคร ชื่ออะไร เป็นลูกใครหลานใคร ทุกอย่างจะปรากฏออกมา  ส่วนด้านขวามือท่านจะมีเจ้าหน้าที่ถือสมุดบัญชีทีทำด้วยหนังหมาใน มีกลิ่นสาบเหม็นมาก ด้านในจะเป็นตัวอักษรสีดำเป็น ปรากฏชื่อคนผู้นั้นพร้อมทั้งสิ่งที่เขาทำไว้ทุกอย่าง  ท่านเจ้าหน้าที่บอกกับผู้เขียนว่า “ตรงนี้ล่ะที่จะบอกว่าเราเป็นคนดีหรือคนเลว ถ้าท่านเป็นคนดีก็จะไม่ต้องลงมาที่นี่ คนที่ลงมาที่นี่เป็นสภาพที่ ทำความดีครึ่งเลวครึ่งหรือเลวตลอดเป็นหลักใหญ่ ถ้าเราไม่อยากลงมาที่นี่เราก็สร้างความดีเยอะๆ จะได้ไปขึ้นสวรรค์”

Advertisement

Advertisement

จังหวะพอดีท่านพญามัจจุราชกำลังจะมีการพิพากษา ท่านเจ้าหน้าที่จึงให้เราได้เห็นการพิพากษาของพญามัจจุราช เห็นเจ้าหน้าที่ 2 คน หิ้วปีกซ้ายขวาผู้ชายผู้หนึ่ง เข้าไปตรงกลางลาน ลานนี้เป็นลักษณะกลมๆ ตัวชายผู้นั้นโดนพาตัวไปไว้ตรงกลางลาน เค้านั่งพนมมือตัวสั่นกลัวลนลาน ท่านพญามัจจุราชถามชายคนนี้ว่าเป็นใคร เจ้าตัวจะเอ่ยชื่อของตัวเอง ท่านเจ้าหน้าที่กระซิบอธิบายว่าตรงสถานที่นี้จะโกหกกันไม่ได้เพราะเป็นสภาวะจิตที่อยู่ในอำนาจพลังของท่านพญามัจจุราช และที่ต้องถามชื่อเพื่อให้สำรวจว่าตรงกับชื่อในบัญชีไหมมีสภาวะที่ผิดตัวกันหรือเปล่าซึ่งบางครั้ง เวรกรรมหรือสภาวะต่างๆ อาจทำให้ดึงมาผิดตัวตนก็ได้ จึงต้องมีการตรวจดูกันอีกครั้งก่อน

ชายผู้นั้นกลัวมากแต่ก็เอ่ยชื่อตัว ชื่อสกุล ชื่อพ่อแม่ และเหตุที่ตาย ท่านถามต่อว่าเจ้าคิดว่าเจ้าเป็นคนดีหรือไม่ เขาสั่นหัวเขาบอกเขาไม่รู้เขากลัว ท่านว่าข้าจะให้โอกาสเจ้า นึกถึงความดีที่เจ้าสร้างว่ามีอะไรบ้างบอกขึ้นมา ชายผู้นั้นเริ่มอธิบายถึงกรรมดีที่เขาสร้างขึ้น ถ้าเขาโกหก เสียงที่พูดออกมา จะไม่ดังเหมือนเขาพูดอยู่ในคอ และตัวเขาจะค่อยๆ จมลงไปตรงแอ่งที่เขานั่งอยู่เรื่อยๆ ลักษณะคล้ายเครื่องจับเท็จในมิติมนุษย์ แต่พอเขาพูดถึงสิ่งที่ถูกต้องตัวเขาก็จะค่อยๆ ลอยขึ้นมาทีละนิดจากพื้นตรงนั้น และสิ่งที่พูดออกไปจะยืนยันกันได้ที่สมุดบัญชี

Advertisement

Advertisement

ท่านถามต่อว่าแล้วความเลวที่เจ้าทำมีอะไรบ้าง ชายผู้นั้นเริ่มพูดโกหก ตัวเขาจึงจมลงไปที่พื้นเรื่อยๆ ท่านพญามัจจุราชกระทืบพระบาท แล้วพูดด้วยเสียงอันดุดันว่า "กูให้โอกาสมึงแล้วนะมึงก็ยังเลวจนถึงที่สุด พูดออกมาให้หมด" ที่นี้เสียงที่เปล่งออกมาจากชายผู้นั้นได้พรั่งพรูในสิ่งที่ทำไม่ดีมาแบบไม่สามารถควบคุมได้ เจ้าหน้าที่ในส่วนของบัญชีหนังหมาไนจะมองตามจะเช็คตามสภาวะนี้ ท่านเจ้าหน้าที่อธิบายว่า สภาวะของพลังในแดนนรกภูมินี้ สามารถจะควบคุมจิตของดวงจิตได้เป็นสภาวะแห่งความยุติธรรมที่แท้จริง  เมื่อชายผู้นั้นพูดจบ เริ่มมีเปลวไฟเกิดขึ้นที่ตัวเขา ท่านพญามัจจุราช เอ่ยขึ้นว่า "เอามันไปลงโทษตามการกระทำ" กลายเป็นสภาวะสายสีดำลากเขาไปพร้อมกับมีเจ้าหน้าที่คุมไปด้วย

นรก

ท่านเจ้าหน้าที่ไกด์ จึงบอกว่า “จะอธิบายคร่าวๆ ให้แล้วกัน สภาวะที่นี่เป็นไปตามศีล คำว่าศีลเป็นสภาวะของการบอก ถึงการกระทำ จะแบ่งเป็นช่องๆ ศีลข้อที่ 1 ห้ามฆ่าสัตว์ ในช่องของการห้ามฆ่าสัตว์เราคล้ายกับแบ่งเป็นแผนกแผนกนี้จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการฆ่าสัตว์ ตรงช่องตรงแผนกนี้จะแบ่งออกเป็นโซนการฆ่าจะแบ่งออกเป็นหลายระบบตั้งแต่การฆ่าด้วยจิตที่มิได้ตั้งใจ ยันกระทั่งร้ายแรงไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ มันจะเป็นชั้นที่ลงโทษหนักลงไปเรื่อยๆจนกระทั่งสุดท้ายเป็นการลงโทษสุดของระบบการฆ่า ในธรรมชาติพื้นฐานจะมี 5 แผนกตามสภาวะศีล 5 แต่ที่ลงโทษเลยจากนี้ไปจะเป็นสภาวะเฉพาะส่วนซึ่งตรงนี้ถ้าจะขอไม่บอก”

ผู้เขียนถามว่าแล้วการฆ่าพ่อแม่อยู่ในแผนกนี้ไหม “ท่านว่านั้นเป็นสภาวะพิเศษ ทีมร้ายแรงเกินจะอยู่ในระบบนี้จึงแยกออกไปอย่างที่เขากล่าวว่ามีแผนกอื่นอีกซึ่งตรงนี้จะเป็นระบบปีกย่อยซึ่งมากมายข้ามิอาจจะอธิบายตรงนี้ได้  การทำผิดศีลข้ออื่นก็เช่นกันระบบแบบเดียวกันในเส้นทางเดียวกัน จำไว้ว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามการกระทำถามว่าเราโกหกไม่ได้ด้วยเหตุผลว่าพลังของการกระทำเมื่อเราทำขึ้นพลังมันจะมาลงในบัญชีที่เจ้าเห็นซ้ายมือทำมือให้เห็นซ้ายขวานี้บัญชีจะค่อยๆปรากฏเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไปตามการกระทำนั้น และชื่อจะปรากฏชัดเมื่อถึงสิ้นอายุขัย”

ผู้เขียนตามต่อว่าถ้ายังไม่ถึงอายุไขล่ะคะ เช่น มีกรรมมาตัดรอนก่อน  “ท่านว่าก็คือที่เจ้าเห็นสัมภเวสีนั้นแระ นั้นเค้ายังไม่ถึงเวลานั้นจึงยังไม่เห็นชื่อชัดเจนในบัญชี จึงต้องเร่ร่อนอยู่ก่อน สภาวะเช่นนี้ก็ถือว่าเป็นกรรมชนิดหนึ่งจำได้ไหมที่ข้าพูดขึ้นตอนแรกว่าเป็นสภาวะของการกระทำและที่พวกเจ้าพูดว่ามีกรรมมาตัดก่อนนั่นล่ะคือการลงโทษในระดับแรกเมื่อยังไม่ถึงอายุขัยแต่ต้องอยู่ในสภาวะของผู้ไร้สายกายเนื้อ"

"จงจำไว้ ในสภาวะที่เจ้ายังมีโอกาสสร้างบุญกุศลจงทำขึ้นเถิดข้าขอเตือน พวกที่มีการเนื้อด้วยอย่างไรก็แล้วแต่ ผู้อื่นอาจมองไม่เห็นแต่สภาวะกรรมมันเป็นพลังที่ส่งมาตลอดเวลาไม่ว่าจะเป็นกรรมดีกรรมชั่วเราโกหกตรงนี้ไม่ได้และพวกข้าเองก็ไม่สามารถจะควบคุมบัญชีนี้ได้มันจะเป็นไปตามการกระทำพลังจะเกิดขึ้นตามการกระทำ พวกข้าได้แต่เป็นผู้ตัดสินโดยอ่านจากพลังที่เกิดขึ้นถ้าอยากให้พลังเราดีเราก็จงเร่งสร้างความดีโดยเฉพาะยิ่งมีกายเนื้อการสร้างความดีจะเกิดผลขึ้นรวดเร็วมากเพราะชีวิตมนุษย์สั้นมากกว่าระบบทิพย์มหาศาลธรรมชาติจึงให้ผลสร้างให้มีผลเร็วขึ้นเพื่อความยุติธรรม”

มีเสียงเตือนว่าหมดเวลาของเข้าแล้ว ได้เวลาที่ต้องกลับขึ้นไปยังโลกมนุษย์แล้ว ท่านพญามัจจุราชจึงกล่าวว่า...

“ก่อนไปขอพูดกับผู้ที่มาเยี่ยมเยียนสักหน่อย จงจำไว้ว่า ความดีความเลวเป็นสภาวะกลาง มันไม่ได้วิ่งเข้าไปหาใคร นอกจากคนคนนั้นเป็นผู้ เปิดทางให้มันเข้าเอง ดังนั้นเราล่ะคือผู้กำหนดที่จะให้ความดีความเลวเข้ามาแค่ไหนอยู่ที่ตัวเราเปิดอยู่ที่ตัวเราปิดอยู่ที่สติปัญญาอยู่ที่อารมณ์ของเราและสิ่งครั้งหน้าเมื่อพ้นกายเนื้อคือสภาวะของการรับการกระทำทั้งหมดที่เราได้ทำไว้ถ้าไม่อยากลงมาไม่อยากเจอค่าในสภาวะนี้ก็จงปิดประตูตายของความชั่วเราจะได้เจอกันในสภาวะร่วมบุญจะดีกว่า”

ขอบคุณภาพ ภาพที่ 1ภาพที่ 2ภาพที่ 3ภาพที่ 4

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ

ความคิดเห็น

กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อทำการคอมเม้นต์