หากจะดูว่าใครรวยหรือใครจน อะไรที่สามารถใช้เป็นเครื่องบ่งบอกฐานะทางสังคมของคนเราได้บ้าง ยุคสมัยนี้เราอาจจะบอกว่าต้องวัดกันที่เงินทอง อาชีพ หน้าที่การงาน ชื่อเสียงเกียรติยศ หรือถ้าเราลองย้อนกลับไปยังสังคมไทยสมัยกรุงศรีอยุธยา ก็จะมีการใช้ระบบศักดินาเป็นตัวแบ่งชนชั้น มีเจ้านาย บ่าวไพร่ ข้าทาสบริวาร จะทาสประเภทใดก็แตกย่อยไปได้อีกหลายสาแหรก แต่บทความนี้ผู้เขียนจะพาผู้อ่านย้อนไปไกลกว่านั้นคือ ยุคกลาง (Middle Age) หรือที่เราคุ้นเคยกันในหนังสือเรียนคือ ยุคมืด (Dark Age) ซึ่งเริ่มตั้งแต่การสิ้นสุดของจักรวรรดิโรมันตะวันตกในศตวรรษที่ 5 บอกเลยว่ายุคมืดนี้เขาไม่ได้แบ่งชนชั้นกันด้วยเงินทองหรือลาภยศ แต่กลับมีค่านิยมสุดแปลกแหวกแนว ใช้อาหารเช้า (Breakfast) เป็นเครื่องบ่งบอกชนชั้นวรรณะทางสังคมต้องทบทวนความจำกันสักเล็กน้อย ยุคมืดเป็นยุคที่ความเชื่อทางศาสนาเป็นเรื่องที่ถือปฏิบัติกันอย่างเคร่งครัด ถ้าเปรียบเทียบแบบเข้าใจง่ายที่สุด สมัยนี้หลายคนที่เรารู้จักจะมีความเชื่อเรื่องดวงชะตา การมูเตลู มีเครื่องรางของขลังพกติดตัวอยู่ตลอดเวลา แต่ยุคมืดคือขีดสุดของความศรัทธาในศาสนา ไม่กล้าพูดว่าคนยุคนั้นงมงาย แต่เอาเข้าจริงที่คนไม่สนใจความรู้เรื่องอื่น เพราะพวกเขาเชื่อว่าศาสนจักรเป็นเหมือนเครื่องชี้เป็นชี้ตาย จะหันซ้ายหันขวาไปทางไหนก็เจอแต่โบสถ์กับวิหาร ซึ่งก็เป็นสิ่งที่เรารู้กันโดยทั่วไปอยู่แล้ว เพราะหลายประเทศในยุโรปก็มีโบสถ์เก่าที่สร้างกันมาตั้งแต่ยุคกลางหลงเหลืออยู่ ทุกวันนี้หลายแห่งก็เปิดให้นักท่องเที่ยวมาดูมาชมกันอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง หลายแห่งก็ยังใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมอยู่เลย เมื่อมาถึงตรงนี้หลายคนคงเริ่มสงสัยแล้วว่า ศาสนจักรเกี่ยวข้องอะไรกับอาหารเช้า แล้วอาหารเช้าเป็นเครื่องบ่งบอกฐานะยากดีมีจนได้อย่างไรกันแน่อย่างที่บอกไปแล้วว่าศาสนจักรมีบทบาทในการกำหนดชีวิตของคนในยุคมืด ชนิดที่แทรกแซงเข้าสู่ทุกกิจกรรมเลยก็ว่าได้ คราวนี้เรื่องมันมีอยู่ว่า ศาสนจักรได้เผยแพร่ลัทธิประหลาดบางอย่างแก่ประชาชน ว่าด้วยการรับประทานอาหารเช้าเป็นเรื่องผิดบาป มีข้อปฏิบัติอย่างหนึ่งเรียกว่า De Rigueur นั่นคือการอดอาหาร คนยุคมืดเขาจะรับประทานอาหารกันเพียงวันละ 2 มื้อเท่านั้น มื้อแรกคือมื้อเที่ยง จะรับประทานอาหารอ่อน ๆ จำพวกข้าวโอ๊ต ขนมปัง ไวน์แดงและเนยแข็ง เปรียบเทียบให้เห็นภาพคงเป็นอาหารรองท้อง ประเภทที่เราอาจจะได้รับประทานเป็นของว่างระหว่างพักการประชุม ซึ่งเอาเข้าจริงถ้าเป็นเรารับประทานอาหารเที่ยงเพียงเท่านั้นคงไม่อิ่มแน่ ๆ แต่นั่นเป็นกิจวัตรที่คนยุคนั้นจำเป็นต้องทำยิ่งไปกว่านั้น จะต้องมีการสวดมนต์เพื่อขอบคุณพระเจ้าก่อนรับประทานอาหารทุกมื้อ ส่วนอีกมื้อคือมื้อเย็น จะเป็นมื้อที่มีอาหารครบถ้วน มีสำรับหลายประเภท แน่นอนว่าการรับประทานให้อิ่มก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่ใจความสำคัญของการรับประทานอาหารมื้อเย็นของคนยุคมืด กลับเป็นไปเพื่อขอบคุณพระเจ้าที่ต่อลมหายใจให้ผ่านไปได้อีกวัน ดังนั้นเราจะเห็นว่า ไม่มีการรับประทานอาหารเช้าบัญญัติอยู่ในข้อปฏิบัติของศาสนจักร เพราะเขาต้องการจะสอนให้คนยุคนั้นมีความเชื่อเดียวกันว่า การตื่นมาแล้วรับประทานมื้อเช้าเป็นการกระทำของคนบาปนั่นเองเท่านั้นยังไม่พอ นอกจากการรับประทานอาหารเช้าจะเป็นเรื่องของคนบาปแล้ว ยังถูกมองว่าเป็นเรื่องของคนจนอีกต่างหาก ในยุคมืดการเกณฑ์แรงงานทาสไปก่อสร้างโบสถ์และวิหาร หรือถูกสั่งให้เป็นไพร่พลในกองทัพเพื่อทำสงครามเป็นเรื่องปกติธรรมดา ดังนั้นพวกแรงงานทาสจำเป็นจะต้องรับประทานอาหารเช้าเพื่อเพิ่มพลังงานให้แก่ร่างกาย จะได้มีแรงทำงานไปตลอดทั้งวัน แต่มื้อเช้าของแรงงานทาสไม่ได้พิเศษอะไรมากมาย มีเพียงข้าวโอ๊ตราดด้วยนมวัว ถึงแม้คริสจักรจะบอกว่าการรับประทานมื้อเช้าของคนจนถือเป็นข้อยกเว้น อนุญาตให้สามารถทำได้ แต่ต้องแลกมาด้วยการถูกมองว่าเป็นพวกคนจนที่ตะกละตะกลาม การตื่นแต่เช้าทั้งที่ยังไม่ได้ทำอะไรแต่มาหาอาหารใส่ปากถือเป็นคนน่ารังเกียจ ไม่มีใครอยากคบค้าสมาคมศาสนจักรยังฝังหัวคนยุคกลางต่อไปอีกว่า แม้แต่ราชวงศ์ยุโรปและพวกขุนนางซึ่งมีภาระหน้าที่ตลอดวันยังไม่รับประทานอาหารเช้ากันเลย เหล่าชาวบ้านชาวเมืองควรละอายต่อบาปและตื่นมาทำการทำงานให้เรียบร้อยเสียก่อน แต่ภายหลังมาค้นพบว่า ที่ชนชั้นสูงไม่รับประทานอาหารเช้าเพราะมีธรรมเนียมการว่าความบนโต๊ะกินข้าว ลองจินตนาการว่า กษัตริย์และขุนนางยุคนั้นทำงานบนโต๊ะอาหาร มีอาหารบริการทั้งวันชนิดที่ร้านบุฟเฟ่ต์ยังต้องชิดซ้าย สมองกำลังคิดนโยบายปกครองบ้านเมือง ในขณะที่มือก็หยิบจับอาหารเข้าปากเคี้ยวจ๊อบแจ๊บอยู่ตลอดเวลา เมื่อได้รับประทานทั้งวันแบบนี้ ก็ไม่มีเหตุจำเป็นให้ต้องตื่นมารับประทานอาหารเช้าแบบแรงงานทาสนั่นเองตัดภาพมาที่ปัจจุบัน การรับประทานอาหารเช้าเป็นเรื่องที่หลายภาคส่วนต่างออกมารณรงค์กันอย่างต่อเนื่อง ด้วยเหตุผลทางสุขภาพเป็นเรื่องสำคัญ ไม่ว่าใครก็ต้องตื่นมารับประทานมื้อเช้าก่อนเริ่มต้นทำงาน อย่างน้อยที่สุดคือขนมปังสักแผ่นกับกาแฟหรือนมสักแก้ว ก็ถือว่าเป็นการช่วยกระตุ้นสมองให้พร้อมใช้งานในแต่ละวันได้แล้ว ในทางกลับกันคนที่ไม่รับประทานอาหารเช้าต่างหาก กลับถูกมองว่าไม่ค่อยจะรักษาสุขภาพ และทุกวันนี้ต้องเรียกว่าเป็นโชคดีที่บ้านเราต่างมีอาหารเช้าให้เลือกรับประทานกันได้อย่างหลากหลาย ไม่ว่าใครจะอยู่ตรงซอกหลืบไหนของสังคม ต่างก็มีโอกาสเข้าถึงแหล่งอาหารอย่างเท่าเทียมกัน ลองคิดว่าถ้าเราย้อนกลับไปอยู่ในยุคกลางแล้วถือข้าวเหนียวหมูปิ้งไปรับประทานต่อหน้าคนยุคนั้น คงถูกประณามว่าเป็นพวกตะกละเห็นแก่กิน เรื่องนี้จึงนับว่าเป็นคติชนสุดแปลกอย่างหนึ่งที่เราได้เรียนรู้จากประวัติศาสตร์นั่นเองเครดิตรูปภาพ- รูปภาพหน้าปก โดย James Coleman : Unsplash- ภาพประกอบที่ 1 โดย DDP : Unsplash- ภาพประกอบที่ 2 โดย Bruno Thethe : Unsplash- ภาพประกอบที่ 3 โดย Martin_Hetto : Pixabay- ภาพประกอบที่ 4 โดย PublicDomainPictures : Pixabayข้อมูลอ้างอิง- หนังสือเรื่อง Daily Life in the Middle Ages - Paul B. Newman